จับตาล็อกดาวน์รอบใหม่หนุนเงินบาทพลิกอ่อน

ทั้งนี้เห็นว่าหากมีการปิดเมืองหรือล็อกดาวน์รอบใหม่ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอาจทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับที่ 30.25-30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงการแพร่ระบาดและล็อกดาวน์

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินในภูมิภาคตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63- ธ.ค.63 พบว่า  ส่วนใหญ่แข็งค่านำโดยหยวน-จีน 6.6 %  รองลงมาเป็น  วอน -เกาหลีใต้6.3%  เปโซ-ฟิลิปปินส์ 5.5% เยน-ญี่ปุ่น 5.1% ดอลลาร์-สิงคโปร์ 1.6%  ริงกิต-มาเลเซีย 1.4 % ยกเว้น รูเปียห์-อินโดนีเซีย 1.4 % รูปี-อินเดีย 2.6% และบาท-ไทยอ่อนค่า  0.2%

ส่วนในเดือนธ.ค.63 ที่ผ่านมานั้นพบว่าสกุลเงินในเอเชียส่วนใหญ่แข็งค่า  โดย วอน -เกาหลีใต้1.9%ดอลลาร์-สิงคโปร์ 1.3% หยวน-จีน 1.1 % รูปี-อินเดีย 1% เยน-ญี่ปุ่น 1% ริงกิต-มาเลเซีย 0.9%บาท-ไทย 0.8%รูเปียห์-อินโดนีเซีย 0.4 %เปโซ-ฟิลิปปินส์ 0.1% อย่างไรก็ตาม ทิศทางค่าเงินบาทผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศและในประเทศดังนั้นผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกควรป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าขาย

ทั้งนี้แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในปี 64 อ่อนค่า เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ใช้นโยบายคิวอีในการพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ตลาดรอดูการพัฒนาวัคซีน แม้ว่าที่ผ่านมา  ตลาดผ่านจุดตำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจมาแล้ว แต่การระบาดรอบใหม่เป็นเรื่องที่ต้องติดตามใกล้ชิด และต้องดูว่าไวรัสจะมีการกลายพันธ์หรือไม่ ถ้ากลายพันธ์การทดลองฉีดวัคก็ไร้ผลต้องพัฒนาวัคซีนใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลา

ด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายตั้งแต่ม.ค.63-29 ธ.ค.63 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 260,000 ล้านบาทขายพันธบัตรสุทธิ 65,000 ล้านบาท เนื่องจากโควิดแพร่ระบาดทำให้เทขายสินทรัพย์ในภูมิภาคและเริ่มกลับเข้ามาในเดือนพ.ย.และธ.ค.ขณะที่การเมืองสหรัฐเริ่มมีความชัดเจน และวัคซีนมีพัฒนาการเชิงบวก

ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเห็นได้จากในเดือนธ.ค.63 ประกอบกับสหรัฐฯมีนโยบายใช้มาตรการคิวอีส่งผลให้ต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 3,000 ล้านบาทขายพันธบัตรสุทธิ 18,000 ล้านบาท โดยในปี 62 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 45,000 ล้านบาท  ขายสุทธิพันธบัตร 79,000 ล้านบาท