เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,490-1,505 จุด โดยกลุ่มพลังงานต้นน้ำวันนี้คาดหนุนตลาดตามราคาน้ำมันดิบเมื่อคืนที่ผ่านมาที่ปรับขึ้น 3% จากความกังวลเรื่อง Supply หลังสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวลงมากกว่าคาด ขณะที่ปัจจัยกดดันภาพรวมยังคงเป็น Bond Yield และ Dollar Index ที่ยังขยับขึ้นจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่จะยืนในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาด ซึ่งยังคงจำกัดการประขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง.เป็น 2.5% วานนี้เชื่อว่าเป็นการปรับขึ้นครั้งสุดท้าย ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจจะเร่งตัวขึ้นในปี 2024 เรามองเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร
ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง ได้แก่ พลังงานต้นน้ำ-กลางน้ำ การแพทย์ สื่อสารฯ จากแนวโน้มกำไร 3Q23 ที่แข็งแรง ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ระยะถัดไปจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมาใน 4Q23-2024 ทั้งการช่วยเหลือค่าครองชีพ พักหนี้เกษตรกร การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไร 3Q23 แข็งแกร่ง//ถือลงทุนต่อเนื่องหลังและพิจารณาสะสมเพิ่มหากดัชนีปรับลงหา Low เดิม 1,460+- จุด
หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : AOT, CPALL, CPN, NSL, TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : BBL
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 197 บาท
• คาดกำไรสุทธิ 3Q23 ที่ 10.8 พันลบ. -4% q-q ส่วนมากมาจากกำไรที่มาจากการตีมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนที่ลดลง แต่ยัง +41% y-y จากส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ที่สูงขึ้น ด้าน NPLs และ Credit cost ไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวลใน 3Q23
• เราคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวจากการดำเนินงานทั้งในและต่างประเทศ คาดกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 3.8 หมื่นลบ. +29% y-y และปี 2024 ที่ 4.1 หมื่นลบ. +8% y-y Valuation ยังน่าสนใจโดยเทรด 2024PBV เพียง 0.5 เท่า
• แนวรับ 162-160 บาท แนวต้าน 166-167//172-175 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีฯ ยังคงแกว่งผันผวน ตลาดรับรู้ตัวแปรลบไปแล้ว แต่ยังไร้ปัจจัยบวกช่วยหนุน ส่วนต่างประเทศ ยังกลัวเรื่องของดอกเบี้ย Fed ที่มีโอกาสปรับขึ้น ขณะที่ Bond Yield สหรัฐ และ Dollar ยังอยู่ระดับสูง (ล่าสุด Bond Yield 10 ปี อยู่ที่ 4.60% จากเดือนก่อน 4.08% ; Dollar Index 106.6 จุด)
• ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น (ล่าสุด Brent $94.7 เหรียญ) หากปรับสูงขึ้นมากกว่านี้ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อจะกลับเข้ามาในตลาด ดีต่อหุ้นน้ำมัน(PTTEP) แต่ลบต่อตลาดหุ้น และเศรษฐกิจโลก
• เรื่องของเงินบาทที่อ่อนค่ายังกดดันตลาดอยู่ ยิ่งอ่อนค่าจะยิ่งเป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย (ล่าสุด 36.5 บาท/ดอลลาร์) ขณะที่ Bond Yield 10 ปี ของไทยเริ่มปรับตัวลง เช้านี้ 3.22%
• นักลงทุนต่างชาติ วานนี้(27) Net buy หุ้นไทย 2.05 พันล้านบาท มีแรงเข้าซื้อในรอบหลายวันหลังจากเทขายติดต่อกัน
• การเมืองไทย รอความคืบหน้าในเรื่องของการอนุมัติมาตรการช่วยเศรษฐกิจที่ยังคงเหลืออยู่ ทั้งนี้ มาตรการหรือนโยบายที่ออกมา ส่วนใหญ่เป็นลบต่อหุ้นในตลาด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงาน
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลข GDP 2Q(T) และผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ
Strategy
• จุดที่จะกลับเข้าซื้อ คงต้องให้ขึ้นไปยืนเหนือ 1500 จุด ขณะเดียวกัน ควรพร้อมขาย หากดัชนีฯ หลุดต่ำกว่า 1490 จุดอีกครั้ง วันนี้ ถ้าไม่เลือกที่จะถือเงินสด ก็ต้องเก็งกำไรช่วงสั้นๆ โดยเน้นปัจจัยเฉพาะตัว
• กนง. ปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยในปี ‘66 เหลือ 2.8% จาก 3.6% บวกกับดอกเบี้ยสูงและเงินบาทอ่อน (กระทบกำไร 3Q ของบริษัทส่วนใหญ่ของตลาด) นักลงทุนอาจเพิ่มน้ำหนักของหุ้นที่กำไรไม่ถูกกระทบอย่างมีนัยยะ และมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี ได้แก่ PTT, INTUCH, DMT, SIRI
• ตลาดยังอ่อนไหวกับตัวแปรทั้งในและนอกประเทศ ทำให้เราจัดหุ้นเข้า/ออก ด้วยความระมัดระวังแม้ดัชนีฯ จะลงมามากแล้วก็ตาม วันนี้ เรานำ TLI เข้ามาในพอร์ตรับกำไร 3Q ที่น่าจะดีตามภาวะดอกเบี้ย โดยเรามีเงินสดในพอร์ต 50%
• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำ TLI* เข้ามาในพอร์ต และคงหุ้นอื่นไว้ทั้งหมด พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย TLI*(10%), SPRC(10%), ITC(10%), BH(10%), ICHI(10%)
Strategy Stock Pick
TLI* : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 13.50 บาท) “ ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ย และ Bond Yield ที่สูงขึ้น ”
• ดอกเบี้ยไทย ที่สูงขึ้นทั้งของ กนง. ที่ 2.50% และผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield 10 ปีของไทย สูงถึง 3.22%) ส่งผลบวกถึงสถาบันการเงินหรือบริษัทประกัน ที่มีการลงทุนอิงดอกเบี้ย เราจึงกลับมาก็งกำไร TLI อีกครั้ง
• TLI พ้นช่วงของความกังวลเรื่องการตั้งสำรองเงินลงหุ้น STARK ไปแล้ว ผลประกอบการ 2Q มีการเติบโต แม้เบี้ยประกันฯ จะลดลง แต่ได้ประโยชน์จากเงินลงทุนที่สูงขึ้นตามดอกเบี้ย
• TLI เปิดเผยกลยุทธ์การดำเนินงานช่วงครึ่งหลังของปี 2566 บริษัทยังคงมุ่งออกผลิตภัณฑ์ประกันที่มีผลกำไรที่ยั่งยืนในระยะยาว และมีความอ่อนไหวน้อยต่ออัตราดอกเบี้ย โดยมุ่งไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) สูง
Technical: HANA, COCOCO
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,480 – 1,487 (F/PE 16.5 – 16.6X) แนวต้าน 1,505 – 1,510 คาดถูกกดดันจาก Fund Flow ชะลอตัว กอปรกับทิศทางค่าเงินบาทอ่อนค่า แนะนำทยอยซื้อที่แนวรับ กลุ่มพลังงาน PTTEP,BCP,SPRC*/ BBL,KTB,TTB,BLA*,TLI* กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ย / TU,AAI*,ITC*,HANA*,KCE* ได้แรงหนุนจากบาทอ่อนค่า
PTTEP (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 164.00 บาท) แนวโน้มตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะตึงตัวจากการที่ซาอุฯ ขยายเวลาลดปริมาณการผลิตแบบสมัครใจไปจนถึงสิ้นปี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากตัวเลขการผลิตของจีนที่ฟื้นตัว และคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มผลประกอบการ 3Q66 กำไรกำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดีหนุนจากราคาน้ำมันและปริมาณขายที่ปรับตัวสูงขึ้น (ราคาน้ำมันดิบดูไบ 3Q66 QTD +10%QoQ) ช่วยชดเชยราคาก๊าซฯ ปรับตัวลดลงตามสัญญา PSC ในโครงการ G1/G2 และต้นทุนต่อหน่วยที่ขยับขึ้น เบื้องต้นเรากำหนดสมมติฐานราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ยในปี 66 ที่ US$80/bbl ซึ่งประเมิน Sensitivity ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นทุกๆ US$1/bbl จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้น 800 ล้านบาท
ADVANC (ซื้อสะสม / ราคาเป้าหมาย 245.0 บาท) กำไรสุทธิงวด 1H66 อยู่ที่ 13,937 ลบ.,+11%YoY ได้แรงหนุนจากรายได้ฝั่งบริการสามารถโตได้ดีโดยเฉพาะรายได้ธุรกิจ Fixed Broadband ขณะที่ในด้านค่าใช้จ่ายสามารถควบคุมได้ดีและได้อานิสงค์การแข่งขันที่ผ่อนคลายลงส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านการตลาดลดลงอย่างมีนัยยะ สำหรับการดำเนินงานช่วงถัดไป คาด ครึ่งปีหลังยังคาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากแรงบวก package 5G ช่วยหนุน blended ARPU นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการเข้าไปลงทุนในTTTBB/JASIF(ยังไม่รวมในประมาณการ) โดย ปัจจุบัน เราประเมินกำไรสุทธิปี66 และ67 ของ ADVANC อยู่ที่ 28,454 ลบ. (+9.39%YoY) และ 31,033 ลบ.(+9.06%YoY) ตามลำดับ