SCB EIC คาด GDPไทยปี 69 โต 1.5% ต่ำสุดในรอบ 30 ปี

SCB EIC คาด GDPไทยปี 69 โต 1.5% ต่ำสุดในรอบ 30 ปี
#SCB EIC #ทันหุ้น - SCB EIC ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวเพียง 1.5% เติบโตต่ำในรอบ 30 ปี จากแรงกดดันทั้งภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งต้องหวังพึ่งการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Data Center, ดิจิทัล, EV และอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่รวดเร็วจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ดร. ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยว่า ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะขยายตัวเพียง 1.5% ลดลงจาก 2% ในปี 2568 นับว่าต่ำสุดในรอบ 3 ทศวรรษ หรือในรอบ 30 ปี (ไม่นับช่วงวิกฤติทั้งต้มยำกุ้ง, วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์, วิกฤตน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554, วิกฤตปฏิวัติทางการเมือง, วิกฤตโควิด) ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ
สะท้อนแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งออกจากสงครามการค้าและการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แม้ว่าปีนี้ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการส่งออกไปสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงหรือลดผลกระทบด้านภาษีที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าปีหน้าจะได้รับผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้น โดยประเมินการส่งออกปี 2569 จะติดลบประมาณ 1.5% ลดลงอย่างมากจากปีนี้ที่ขยายตัว 10.8%
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้ยังไม่ค่อยดี โดยติดลบประมาณ 7% แต่คาดว่าปีหน้าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จาก 32.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 34.1 ล้านคน เติบโตประมาณ 4% ซึ่งยังห่างไกลจากตัวเลข 40 ล้านคนก่อนโควิดอยู่มาก สาเหตุหนึ่งมาจากคู่แข่งประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการสนับสนุนการท่องเที่ยวของตนเองมากขึ้น
อีกทั้งเศรษฐกิจโลกในปีหน้ายังชะลอตัวลงอยู่ที่ประมาณ 2.5% ถ้าหากเศรษฐกิจโลกเติบโตได้ดีขึ้น อาจเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย
ขณะที่ภาคการลงทุนโดยรวมยังมีข่าวดีที่คาดว่าจะขยายตัวได้บ้างประมาณ 1.9% ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ได้รับการสนับสนุนจาก BOI ในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ เช่น Data Center, ดิจิทัล, EV และอิเล็กทรอนิกส์ แต่โครงการเหล่านี้มีการนำเข้าสูงและใช้ซัพพลายภายในประเทศต่ำ ดังนั้นในระยะสั้นจึงอาจยังไม่เห็นผลมากนักแต่จะเป็นผลดีในระยะยาว ถ้าหากสามารถพัฒนาใช้ซัพพลายภายในประเทศได้
ส่วนการลงทุนอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเดิมยังซบเซา เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตยังต่ำและกำลังซื้อในประเทศมีข้อจำกัด โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะชะลอตัวต่อเนื่องอีกปี ซึ่งความขัดแย้งที่ชายแดนเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านลบ หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อ นักลงทุนที่เริ่มสร้างโรงงานแล้วไม่น่าจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี แต่หากยืดเยื้ออาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนระยะยาว
ในเรื่องของการเลือกตั้ง ซึ่งได้มีการรับทราบแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในปีหน้า และมองว่าการยุบสภาที่เกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดไม่ได้ส่งผลกระทบต่อประมาณการหลักของ SCB EIC มากนัก ประเมินเบื้องต้นว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในประมาณ 5 เดือน ประมาณช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน
ถ้าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว 3-4 เดือน จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นการลงทุนและบริโภคได้ แต่ถ้ามีการยืดเยื้อใช้เวลามากกว่า 6 เดือน จะส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ เม็ดเงินสนับสนุนเศรษฐกิจภาครัฐไม่ต่อเนื่อง การเจรจากับสหรัฐฯ ล่าช้าเสียเปรียบมากขึ้น รวมถึงเสี่ยงปรับลดเครดิตเรตติ้ง
ขณะเดียวกันข้อจำกัดทางด้านการคลังของไทย อาจมีผลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าความไม่แน่นอนทางการเมือง เนื่องจากเม็ดเงินตามงบประมาณมีอัตราการเติบโตค่อนข้างน้อย เพราะภาครัฐต้องระมัดระวังในเรื่องหนี้สาธารณะ ดังนั้นจึงต้องมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังจำเป็นต้องมีการกระตุ้นระยะสั้น แต่ต้องควรทำควบคู่ไปกับมาตรการระยะยาว
อย่างไรก็ดีด้านภาระหนี้ครัวเรือนยังคงเป็นปัญหาใหญ่ โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 85% ของ GDP ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่ม Emerging Market ขณะที่ปัญหาการชำระหนี้เริ่มเห็นสัญญาณลามไปยังกลุ่มคนที่มีรายได้สูงเกิน 50,000 หรือเกิน 100,000 บาท แม้อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในกลุ่มนี้จะไม่สูงเท่ากับคนรายได้น้อย แต่ภาระหนี้ของคนกลุ่มนี้เป็นปัญหาที่หนักมาก
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 2 ครั้ง มาอยู่ที่ระดับ 1% จนถึงประมาณครึ่งแรกของปีหน้า จากปัจจุบันที่ 1.5% เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ รวมถึงลดแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
