ไทยโจมตีปอยเปตจริงหรือไม่? ทอ.ยันเป้าหมายคือคลังอาวุธ กต.ชี้คนไทยปลอดภัย

กระแสข่าวจากสื่อกัมพูชาที่อ้างว่ามีการโจมตีในเขตใจกลางเมืองปอยเปต สร้างความตื่นตระหนกต่อประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดน กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นอ่อนไหวในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาที่กำลังตึงเครียด โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงและการทูตของไทยต้องออกมาชี้แจงพร้อมกันในหลายมิติ

นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานตรวจสอบข้อมูลกับคนไทยในพื้นที่ปอยเปต รวมถึงสำนักงานประสานงานชายแดนไทย–กัมพูชาแล้ว พบว่าคนไทยที่ยังติดค้างอยู่ในพื้นที่ทุกคนปลอดภัยดี ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตามที่มีการเผยแพร่ข่าว

กระทรวงการต่างประเทศยืนยันความพร้อมในการอำนวยความสะดวกให้คนไทยเดินทางออกจากพื้นที่ หากประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยง พร้อมออกเอกสารเดินทางฉุกเฉินในกรณีจำเป็น เพื่อให้การคุ้มครองคนไทยในต่างแดนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ด้านการชี้แจงทางทหาร พลอากาศเอกจักรกฤษณ์ ธรรมวิชัย โฆษกกองทัพอากาศ ระบุว่า ปฏิบัติการของฝ่ายไทยไม่ได้เกิดขึ้นในเขตเมืองปอยเปตตามที่ถูกกล่าวอ้าง แต่เป็นการโจมตีเป้าหมายทางทหารนอกพื้นที่เมือง โดยเป้าหมายคือคลังเก็บอาวุธ กระสุน และวัตถุระเบิด โดยเฉพาะจรวด BM-21 ซึ่งเป็นอาวุธที่ฝ่ายกัมพูชาใช้ยิงเข้ามาในฝั่งไทยก่อนหน้านี้กว่า 100 ลูก

โฆษกกองทัพอากาศระบุว่า ก่อนดำเนินการโจมตี ได้มีการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด และยืนยันว่าไม่มีพลเรือนอาศัยอยู่ในบริเวณเป้าหมาย การปฏิบัติการจึงเป็นไปตามหลักการจำกัดวงความเสียหาย และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

ขณะเดียวกัน พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยผลการประชุมสภากลาโหม ประจำเดือนธันวาคม 2568 โดยเน้นย้ำการเสริมกำลังบำรุงให้หน่วยแนวหน้าเพื่อให้การปฏิบัติการมีความต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูแลสวัสดิการกำลังพลในระยะยาว ผ่านความร่วมมือด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะกับสถาบันการศึกษา

ด้านความมั่นคงชายแดน มีการบูรณาการกำลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกประชาชนในพื้นที่ตลอดช่วงเทศกาลปีใหม่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงเปราะบาง

ข้อมูลด้านการแพทย์และสาธารณสุข ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2568 ระบุว่า มีประชาชนเสียชีวิตจากผลกระทบทางอ้อมของสถานการณ์ 20 คน เสียชีวิตจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา 1 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน ขณะที่มีศูนย์พักพิงชั่วคราวเกือบ 1,000 แห่ง รองรับประชาชนกว่า 2.6 แสนคน และสถานพยาบาลหลายร้อยแห่งได้รับผลกระทบ

ในมิติความมั่นคงทางทะเล พลเรือตรีจุมพล นาคบัว โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ออกประกาศเตือนผู้ประกอบการเดินเรือไทยให้เพิ่มความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง และเฝ้าระวังการรบกวนสัญญาณ GPS รวมถึงการใช้โดรนในทะเล ซึ่งอาจกระทบต่อความปลอดภัยในการเดินเรือ

ขณะที่กระทรวงแรงงานติดตามผลกระทบด้านแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิด เตรียมมาตรการเยียวยาแรงงานและนายจ้างที่ได้รับผลกระทบ ทั้งการดูแลสิทธิประโยชน์ การฝึกอาชีพในศูนย์พักพิง และการจัดหางานในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ตามมาจากสถานการณ์ชายแดน