หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ข่าวดีสะท้อนไปแล้ว เปลี่ยนหาหุ้น laggard

#หุ้นเด่น #ทันหุ้น – บทวิเคราะห์ โดย บล.กสิกรไทย
บล.กสิกรไทยคงมุมมองเป็นกลางต่อภาคธุรกิจสำหรับหุ้นในกลุ่มธุรกิจการเงิน เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่รวมข่าวดีอยู่ในราคาแล้ว แนะนำให้เปลี่ยนเป็นหุ้นกลุ่ม laggard (THANI , TIDLOR)
บล.กสิกรไทยคาดหุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยที่หนุนกำไรในปี 2568-69 ในขณะที่ข้อมูลเศรษฐศาสตร์มหภาคยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่ยังมีอยู่ต่อคุณภาพสินทรัพย์
สินเชื่อจำนำทะเบียนจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นหลัก และสินเชื่อรถบรรทุกได้ประโยชน์จากโครงการก่อสร้างในระยะยาว
Investment Topics
บล.กสิกรไทยระบุว่าหุ้นกลุ่มนี้ได้ประโยชน์เล็กน้อยจากวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของ Fed ที่ 50bps เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บล.กสิกรไทยเชื่อว่าภาคการเงินจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเริ่มต้นวัฏจักรการลดดอกเบี้ย โดยเฉพาะต้นทุนหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตสูงจะได้ประโยชน์ก่อน KResearch ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 2-10 ปีลง 20-30bps ขณะที่ยังคงคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ 2.5% บล.กสิกรไทยเชื่อว่าผู้ประกอบการด้านการเงินที่มีสัดส่วนแหล่งเงินทุนจากหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิต A ขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์หลัก ได้แก่ TIDLOR, THANI, KTC, ASK, AEONTS, BAM, และ MTC (ซึ่งเพิ่งได้รับการจัดอันดับเครดิด A- จาก Fitch) อย่างไรก็ตาม เราได้พิจารณาการลดต้นทุนเงินทุนในปี 2568-69 และประมาณการกำไรที่เพิ่มขึ้นเพียง 1.1-2.7% ในปี 2568-69
ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคแสดงความเสี่ยงที่ยังคงมีอยู่ต่อคุณภาพสินทรัพย์ จากการอัพเดตข้อมูลเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้ เรามองว่าความเสี่ยงระยะยาวต่อคุณภาพสินทรัพย์ยังคงมีอยู่เนื่องจาก 1) อัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) ที่ลดลงของครัวเรือนโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เศรษฐกิจฟื้นตัวไม่เท่ากัน บ่งชี้จากจำนวนบัญชีเงินฝากรายย่อยที่เพิ่มขึ้นและส่วนแบ่งเงินฝากรวมลดลง และ 3) แนวโน้มราคารถยนต์มือสองที่อ่อนแอจากอุปทานรถยนต์ยึดคืนที่สูงขึ้นและการผลิตรถยนด์ EV ในประเทศที่จะเกิดขึ้นในปี 2567-68ในแง่ดี รายได้ภาคเกษตรและต้นทุนปุ๋ยน่าจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนแก่ลูกค้าเกษตรกร และการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทด้านการเงินในระยะสั้น
ทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการติดตามหนี้ บล.กสิกรไทยเชื่อว่าบริษัทการเงินที่มีทรัพยากรมนุษย์และเครือข่ายสาขาที่เพียงพอจะมีข้อได้เปรียบมากกว่าในการรักษาคุณภาพสินทรัพย์ของตนในช่วงที่อุตสาหกรรมสินเชื่อส่วนบุคคลประสบความยากลำบาก บล.กสิกรไทยมองว่าบริษัทที่มีทีมจัดเก็บหนี้ภายในที่แข็งแกร่งจะมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการรับมือกับพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเทียบกับการใช้ทีมจัดเก็บหนี้ภายนอก ดังนั้น คาดว่าผู้ประกอบการรายใหญ่จะสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีกว่าบริษัทขนาดเล็กที่มีทรัพยากรมนุษย์จำกัด
เน้นหุ้นสินเชื่อจำนำทะเบียนระยะสั้น ขณะที่หุ้นสินเชื่อรถบรรทุกน่าจะได้ธีมระยะยาว
บล.กสิกรไทยเรียงความชอบในภาคการเงินจาก 1) สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนด์ (TIDLOR) 2) สินเชื่อรถบรรทุก (THANI); 3) บัดรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล และ 4) บริษัทลีสซิ่งต่างๆ บล.กสิกรไทยเชื่อว่าผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์จะมีโอกาสหลุดจากวงจรหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ เนื่องจากลูกค้าหลักของพวกเขาจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ขณะที่ผู้ประกอบการสินเชื่อรถบรรทุกจะเริ่มเห็นสถานการณ์ NPL ที่ผ่อนคลายลงในปี 2568จากการเบิกจ่ายงบประมาณทางการคลังและภาคการก่อสร้างที่ดีขึ้น
Valuation and Recommendation
บล.กสิกรไทยคงมุมมองที่เป็นกลางต่อภาคธุรกิจนี้ หุ้นเด่น คือ THANI และเพิ่ม TIDLOR เป็นหุ้นเด่นใหม่ บล.กสิกรไทยปรับลดคำแนะนำสำหรับ MTC และ SAWAD เป็น "ถือ" และ ASK เป็น "ขาย" โดยบล.กสิกรไทยนำ MTC และ SAK ออกจากหุ้นเด่น เนื่องจากราคาหุ้นทั้งสองตัวปรับตัวขึ้นมากเกินไป YTD และมี upside ที่จำกัดมากกว่าราคาเป้าหมายของบล.กสิกรไทย จากการปรับตัวขึ้นของกลุ่มธุรกิจล่าสุดถึง 36% ตั้งแต่วันที่ 16 ส.ค. บล.กสิกรไทยแนะนำให้นักลงทุนเปลี่ยนไปลงทุนในหุ้นที่ยังคงมีพื้นฐานที่ดีขึ้น แต่ยังไม่ได้รับความสนใจมากนัก เช่น THANI และ TIDLOR บล.กสิกรไทยมองว่าการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงินขนาดเล็กนั้นเกิดจากการตอบสนองที่เกินความจริง
การประเมินมูลค่าและคำแนะนำ
คงมุมมองเป็นกลาง โดยมี TIDLOR และ THANI เป็นหุ้นเด่น
จากการปรับตัวขึ้นของภาคการเงินเมื่อเร็วๆ นี้ บล.กสิกรไทยยังคงมุมมองที่เป็นกลางต่อภาคธุรกิจ เนื่องจากเชื่อว่าการรณรงค์กระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะช่วยลดลดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ในระยะน ในขณะที่บล.กสิกรไทยคาดการณ์ว่าภาคการเงินจะยังคงเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างเช่นหนี้ครัวเรือนที่สูง ความสามารถในการชำระหนี้ที่อ่อนแอ การแข่งขันที่สูงขึ้น และความเสี่ยงด้านกฎระเบียบที่มากขึ้น
บล.กสิกรไทยคง THANI เป็นหุ้นเด่น เนื่องจากเชื่อว่า THANI จะเป็นผู้ได้ประโยชน์รายแรกจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของสินเชื่อรถบรรทุกและบรรเทาปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่คู่แข่งส่าคัญอย่าง ASK อาจต้องใช้เวลามากขึ้นในการเริ่มปล่อยสินเชื่อใหม่ เนื่องจากมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่สูง และมีรถบรรรทุกยึดคืนที่ยังอยู่ในมือจำนวนมาก นอกจากนี้ บล.กสิกรไทยยังได้ถอด SAK และ MTC ออกจากหุ้นแนะนำ เนื่องจากมี upside ที่จำกัดต่อราคาเป้าหมายของบล.กสิกรไทย หลังจากที่ SAK และ MTC เป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ดี 3 อันดับแรก YTD ในปี 2567 โดยให้ผลตอบแทน 42.5% และ 18.3% ตามลำดับ
บล.กสิกรไทยได้เพิ่ม TIDLOR เป็นหุ้นเด่น เนื่องจาก 1) ราคาหุ้นของ TIDLOR ที่เปลี่ยนแปลง -10.9% นั้นต่ำกว่าคู่แข่ง (MTC 18.3%, SAWAD 22.3%) YTD 2) การประเมินมูลค่าหุ้นที่ต่ำกว่า โดยมีการซื้อขายด้วย PBV ปี 2567ที่ 1.8 เท่า เมื่อเทียบกับ SAWAD และ MTC ที่ 2.0 เท่า และ 3.0 เท่าตามลำดับ ซึ่งเรามองว่า PBV ที่ต่ำกว่าเป็นผลมาจาก ROE ของ TIDLOR ที 14-15% เทียบกับ SAWAD และ MTC ที่ 16-18% เนื่องจากการตั้งสำรอง ECLระมัดระวังมากกว่า และ 3) บล.กสิกรไทยเชื่อว่าจุดอ่อนสำคัญของสินเชื่อรถบรรทุกของ TIDLOR จะค่อย ๆ ดีขึ้นในปี 2568 หลังจากการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลดีขึ้น และมีโครงการก่อสร้างใหม่ ๆ ภายใต้งประมาณปี 2568
บล.กสิกรไทยปรับลดคำแนะนำส่าหรับ MTC และ SAWAD เป็น "ถือ" จาก "ซื้อ" เนื่องจากเราเชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนกระแสข่าวเชิงบวกแล้ว และมี upside ที่จำกัดต่อราคาเป้าหมายใหม่ของเราที่ 55 บาท (จาก 52 บาท) และ 44 บาท (จาก 35.25 บาท) ในทางตรงกันข้าม บล.กสิกรไทยปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ TIDLOR เป็น "ซื้อ" จาก "ถือ" และเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 22 บาท จาก 14.8 บาท การปรับเพิ่มกำไรปี 2567-69 จากแนวโน้มต้นทุนเงินทุนที่ลดลงเป็นส่วนหนึ่งของการปรับราคาเป้าหมายของเรา แต่การปรับราคาเป้าหมายส่วนใหญ่มาจากการปรับ PBV
บล.กสิกรไทยเพิ่ม PBV เป้าหมายของ TIDLOR เป็น 1.76 เท่า ซึ่งต่ากว่าค่าเฉลี่ย PBV ในอดีด 1.2 เท่า ซึ่งด่ากว่าค่าเฉลี่ย PBV ในอดีด 1.25 SD ในขณะที่เราเพิ่มสมมติฐาน ROE ระยะยาวเป็น 17% จาก 14% ซึ่งสะท้อนถึง ROE ที่อาจเพิ่มขึ้นจากการลดต้นทุนเงินทุนและ credit cost นอกจากนี้เรายังเพิ่ม PBV เป้าหมายของ SAWAD เป็น 1.65 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ในอดีต 1.5 SD จาก 1.34 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ในอดีต 1.75 SD ในขณะที่เราเพิ่ม ROEระยะยาวเป็น 17% ซึ่งเทียบเท่ากับ TIDLOR ราคาเป้าหมายของ MTC อิงจาก PBV เป้าหมายที่ 2,5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV ในอดีตที่ 1.25SD จาก 2.4 เท่า เนื่องจากเราเพิ่มสมมติฐาน ROE ระยะยาวเล็กน้อยเป็น 20.5% จาก 20%
บล.กสิกรไทยคงคำแนะนำ "ถือ" สำหรับทั้ง KTC และ AEONTS แต่เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 43 และ 150 บาท จาก 41.50 และ 129 บาท ตามลำดับ เราเพิ่มราคาเป้าหมายของ KTC เนื่องจากกำไรที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนเงินทุนที่ลดลง และเพิ่ม PBV เป้าหมายเป็น 2.6 เท่าจาก 2.5 เท่า สะท้อนถึงแนวโน้ม ROE ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ เรายังเพิ่มราคาเป้าหมายของ AEONTS จากการปรับเพิ่มกำไร และเพิ่ม PBV เป้าหมายเป็น 1.3 เท่าจาก 1.15 เท่า ซึ่งสะท้อนถึง ROE ที่ดีขึ้นเช่นกัน
บล.กสิกรไทยปรับลดคำแนะนำของเราสำหรับ ASK จาก "ถือ" เป็น "ขาย" บล.กสิกรไทยปรับลดราคาเป้าหมายของ ASK จาก 10.9 บาท เป็น 10.6 บาท เพื่อสะท้อนถึงการปรับประมาณการกำไรของเรา และราคาเป้าหมายของเราที่ 10.6 บาท ยังคงอิงตาม ROE เป้าหมายที่ 8.596 (เทียบกับประมาณการ ROE ของเราในปี 2567/68/69 4.596/5.796/7.596) และ implied P/BV ที่ 0.52 เท่า (เทียบกับการคาดการณ์ P/BV ของเราในปี 2567/68/69 ที่ 0.7 เท่า/0.68 เท่า/0.65 เท่า) เราเชื่อว่าราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่สอดล้องกับแนวโน้มกำไรที่อ่อนแอของบริษัทฯ และความกังวลของเราเกี่ยวกับรถบรรทุกยึดคืนจำนวนมากในพอร์ตฯ ของบริษัทฯ นอกจากนี้ D/E ratio ที่สูงในปัจจุบันที่ 6 เท่า ซึ่งใกล้จะถึงขีดจำกัดของเงื่อนไขที่ 7 เท่า จะเพิ่มความเสี่ยงที่ ASK อาจจำเป็นต้องเพิ่มทุน