ALLY GLOBAL เชื่อมนักลงทุนเซาท์อีสเอเชียสู่โลก เป้าสินทรัพย์5พันล้านดอลล์ใน5ปี
นายกฤษฎิ์ เอี่ยมสกุลรัตน์ Managing Partner ของ ALLY GLOBAL เปิดเผยว่า ปัจจุบัน นักลงทุนไทยค่อนข้างมีข้อจำกัดในการลงทุน ไม่ว่าประเภทสินทรัพย์ หรือ การเข้าถึงสินทรัพย์ต่างๆ เมื่อเปรียบเทียบกับนักลงทุนระดับโลก จึงทำให้การลงทุนมีข้อจำกัด บริษัทมองเห็นโอกาสจะสามารถช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการลงทุนโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางมากมาย ซึ่งเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ลงไปอีก การลงทุน Alternative Investment หรือ Private Equity เป็นสัดส่วนสำคัญของกองทุนระดับโลก โดยมีการจัดสรรการลงทุนไม่ต่ำกว่า 25-40% โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีความผันผวนสูงเช่นในปัจจุบัน”
ดังนั้น ALLY GLOBAL เป็นบริษัทการลงทุน ที่มีสินทรัพย์มูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีเป้าหมายที่ขยายสินทรัพย์สู่ 5,000 ล้านเหรียญใน 5 ปี ปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ที่นิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส กรุงเทพฯ และ สิงคโปร์ ALLY GLOBAL เน้นการลงทุนใน 4 ธุรกิจหลักทั่วโลก โดยเน้นธุกิจที่มั่นคงและอนาคตเติบโตสดใส เน้นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง มีทรัพย์สิน หรือ กระแสเงินสดรองรับ ได้แก่ 1. อสังหาริมทรัพย์2. สื่อและความบันเทิง 3. อุตสาหกรรมด้านบริการ และ โรงแรม 4. การลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโต ยั่งยืน และพลังงานสะอาด
ALLY GLOBAL ถือเป็น Platform การลงทุนแรกที่เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนในการลงทุนร่วมกับเจ้าของบริษัทบริหารสินทรัพย์ระดับยักษ์ใหญ่ของโลก เช่น Carlyle Group, Avenue Capital แตกต่างกับ Platform อื่นที่ให้ผู้บริหารกองทุนต่างชาติเป็นผู้บริหารเงินลงทุนให้อีกทอดหนึ่ง จึงทำให้นักลงทุนมีโอกาสเลือกการลงทุนที่ดีที่สุด พาร์ทเนอร์หลายคนของเราที่เคยเป็นหัวหน้าทีมด้านการลงทุนอสังหาฯ ในธนาคารขนาดใหญ่ทั่วโลก อาทิ ที่โกลแมน แซคส์ เมอริล ลินช์ เป็นต้น ทำให้เรารู้จักและคัดเลือก Operator ที่ดีที่สุดในตลาดหลักๆ ซึ่งเห็นได้จากผลตอบแทนในการลงทุนมีตั้งแต่ 18 ถึง 40% ต่อปี
สำหรับการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม อาทิ
1. โครงการซีเปรียนี่ (Cipriani) เป็น Mixed-Use มูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บนทำเลใจกลางเมืองที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุดของไมอามี่ ฟลอริดา นับเป็นที่ดินแปลงงามสุดท้ายใน Brickell ที่หรูและดีที่สุด เพิ่งมีการเปิดตัวรูปแบบเป็นคอนโดขายและให้เช่า
2. โครงการอาคารธุรกิจพาณิชย์ 18 อาคารบนถนนเวสเทิร์น อเวนิว สายหลักใน Hollywood ตั้งอยู่ใกล้พาราเมาท์ สตูดิโอและ เน็ทฟลิกซ์ ทำเลดีมีศักยภาพ โดยลงทุนร่วมกับแฟมิลี่ของมาร์ค ลาสลี่ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ เดอะ อเวนิว กรุ๊ป ที่รู้จักในนามเจ้าของทีมบาสเก็ตบอลอันดับหนึ่ง มิลวอล์คกี้บัคส์ ที่โด่งดังในอเมริกา โดยแนวคิดการลงทุนนี้ เป็นการซื้อตึกพร้อมที่ดินและลงทุนในการปรับปรุง เพื่อสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากค่าเช่าได้กว่า 5 เท่าจากราคาที่ลงทุน ขณะนี้ได้มีการเซ็นสัญญาเช่ากับแบรนด์ดังๆ อาทิ เดวิด เซอร์เวอเนอร์ อาร์ตแกลเลอรี่ดังระดับโลก และแฟชั่นไลน์ใหม่จากผู้ก่อตั้ง Theory และ Celebrity agent Scooter Braun
3. โครงการโรงแรมเครสเซนต์ (Crescent) นับเป็นหนึ่งในทำเลดีที่สุด ตั้งอยู่ใจกลางเบเวอรี่ฮิลล์ แคลิฟอร์เนีย ใกล้โรดิโอไดรฟ์ แนวคิดการลงทุนนี้ เป็นการลงทุนที่มีการได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน โดยได้ให้แบรนด์โรงแรมซอนเดอร์ (Sonder) ที่มีชื่อเสียงเป็นผู้บริหาร และด้วยทำเลที่สวยงามทำให้มีผู้เสนอซื้อในราคาที่สูงกว่าราคาที่เราเข้าซื้อ 30% เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากเข้าลงทุน อย่างไรก็ดีทางเรามองว่า มูลค่าในอนาคตจะยังคงเพิ่มต่อเนื่องโดยเฉพาะเมื่อโรงแรมได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอีก
4. ออฟฟิศ 1375 บนถนนบรอดเวย์ นิวยอร์ค เป็นตึก 20 ชั้น ตั้งอยู่ใกล้ไทม์สแควร์ เพนสเตชั่น และไบรอัน พาร์ค ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด ปัจจุบันมีอัตราการให้เช่าอยู่กว่า 95% เป็นการลงทุนในหุ้นบุริมสิทธิ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนที่ 17% ตึกนี้ได้ลงทุนร่วมกับแฟมิลี่ออฟฟิศของเดวิด รูบินสไตน์ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของคาร์ไลน์ กรุ๊ป กองทุนชื่อดังที่มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่าแปดล้านล้านบาท
ด้านโรงแรม ธุรกิจโรงแรมที่น่าสนใจในการเข้าลงทุนมี 2 ประเภท 1. โรงแรมที่มีทำเลที่ดีมาก สามารถเข้าลงทุนซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด หากมีการลงทุนปรับปรุง โดยนำ Best in class operator ที่มี F&B component ที่ดังทั่วโลก สามารถทำให้ Room rate ขึ้นได้มาก 2. โรงแรมที่สามารถนำแนวคิดใหม่หรือเทรนด์ work from anywhere โดยตั้งอยู่ในทำเลที่สามารถขับรถได้ไม่ไกล และมีฤดูการพักได้ยาวตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังได้มีการลงทุนโรงแรมที่ซิกเซ็นส์ อิบิซ่า สเปน ซึ่งแม้จะอยู่ในช่วงโควิด และเพิ่งเปิดให้บริการมาได้ไม่นาน ปรากฏว่าประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว โดยราคาค่าห้องจริงมีราคาสูงกว่าราคาค่าห้องที่คาดไว้กว่าสองเท่า กล่าวคือราคาค่าห้องที่คาดไว้ 700 ยูโรต่อคืน สามารถขายได้ที่ 1,430 ยูโรต่อคืน เป็นต้น โดยรวมด้านอสังหาริมทรัพย์ ALLY GLOBAL ได้มีการลงทุนไปแล้วกว่า 40 โครงการทั้งในอเมริกา เอเชีย และยุโรป ในประเทศไทย ALLY REIT ได้มีการลงทุนไปแล้วกว่า 13,000 ล้านบาท หรือ 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปัจจุบัน ALLY REIT จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ด้านสื่อและบันเทิง ปัจจุบันกระแสการสร้างซอฟท์พาวเวอร์ มาแรงในหลายประเทศที่มองการใช้ธุรกิจบันเทิงมุ่งสู่ตลาดโลก ALLY GLOBAL วางแผนสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบและครบวงจร (Fully-integrated ecosystem) โดยนำผลงานบันเทิงที่มีความโดดเด่นในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปสู่สายตาเวทีผู้ชมระดับโลก โดยจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการลงทุนทางการเงิน พัฒนา และจัดจำหน่ายให้กับพันธมิตรบริษัทในวงการภาพยนตร์ทั้งในอเมริกาและระดับโลก จากภาพรวม อัตราการเติบโตของมูลค่างานด้านสื่อและบันเทิงของภูมิภาคเอเซียสูงกว่าของทวีปยุโรป ผนวกกับ ALLY GLOBAL มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับ Production company, Talent agency เจ้าใหญ่ใน Hollywood นอกจากนี้ ALLY GLOBAL ได้มีการลงทุนในบริษัทเอนเตอร์เทนเมนท์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ในเดือนพฤศจิกายนปี 2020 ผ่านมา และได้ขายบริษัทดังกล่าวนี้ให้กับ Global Entertainment Aggregator โดยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงกว่าหกเท่าไม่ถึง 2 ปีที่ลงทุน
ด้านการลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโต ยั่งยืน และพลังงานสะอาด มีการลงทุนในบริษัทที่กำลังเติบโตและกลุ่ม startups กว่า 50 บริษัท อาทิ Hungryroot บริษัทที่ให้บริการค้าปลีกที่มีการเติบโตโดยใช้ระบบ AI โดยปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่ามูลค่าการเข้าลงทุนในครั้งแรก Braven Environmental บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในการแปลงพลาสติกเป็นพลังงาน นับเป็นบริษัทพลังงานทางเลือกที่มีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นต้น โดยแนวโน้มการลงทุนในภาคเอกชนของประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ อาทิ สหรัฐ ยุโรปและเอเซีย ต่างมองว่าการลงทุนแบบไพรเวท อิควิตี้ สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนทั่วๆไป