รีเซต

“ศุภจี” ดันยุทธศาสตร์ เกษตร-ตลาดใหม่-ค่าครองชีพ เร่งเจรจาภาษีสหรัฐฯให้สมบูรณ์ในสิ้นปีนี้

“ศุภจี” ดันยุทธศาสตร์ เกษตร-ตลาดใหม่-ค่าครองชีพ เร่งเจรจาภาษีสหรัฐฯให้สมบูรณ์ในสิ้นปีนี้
TNN ช่อง16
9 ตุลาคม 2568 ( 16:52 )
12

“ศุภจี” ชี้ไทย ต้องเร่งปรับตัวรับเทรนด์โลก พาณิชย์ดันยุทธศาสตร์ "เกษตร-ตลาดใหม่-ค่าครองชีพ" เผยเร่งเจรจาภาษีสหรัฐฯให้สมบูรณ์ในสิ้นปี 2568


"นางศุภจี สุธรรมพันธุ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Thailand’s Opportunities & Challenges” ในงาน “Thailand Economic Outlook 2026: Out of the Trap” จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ระบุว่าภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลไทยจะเร่งเจรจาในรายละเอียดเกี่ยวกับภาษีการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อให้มีความชัดเจนของรายการสินค้า โดยถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายที่ไทยต้องปรับตัวให้ทัน


ขณะเดียวกัน นโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนาและทำให้เงินบาทแข็งค่า กระทบต่อการส่งออกของไทย อีกทั้งยังต้องจับตาความผันผวนของราคาพลังงาน แม้อุปทานที่เพิ่มขึ้นจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพบางส่วน แต่ก็สะท้อนอุปสงค์ที่ชะลอตัวในอีกด้านเช่นกัน


นางศุภจี กล่าวต่อว่า ปัจจุบันนี้โลกกำลังเผชิญ 4 เทรนด์สำคัญที่ประเทศไทยต้องปรับตัวให้ทัน คือ 

- Deglobalization การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่มูลค่าในระดับภูมิภาค

- Decarbonization การค้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่จะมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไทยจึงต้องเร่งปรับมาตรฐานการผลิตและกฎระเบียบให้สอดรับ

- Digitalization ทุกภาคส่วนรวมถึงกระทรวงพาณิชย์ต้องปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ

- Demographics การลดลงของจำนวนประชากรและการเข้าสู่สังคมสูงวัยเป็นความท้าทายต่อผลิตภาพของประเทศ


สำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน GDP ไทยเติบโตช้าลงจากเดิมที่เคยอยู่ราว 5% เหลือเพียง 3% และล่าสุด คาดว่า จะขยายตัวเพียง 1.8–2.3% ขณะที่ เงินเฟ้อทั่วไปติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ระดับ -0.7% จากราคาพลังงานและอาหารสดที่ลดลง สะท้อนภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังชะลอตัว ขณะเดียวกัน ผลิตภาพแรงงานลดลง ตลาดแรงงานไทยยังเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้างจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย และการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ที่ลดลง


ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่

1.เสริมรายได้ฐานรากและสร้างความมั่นคงทางรายได้ให้เกษตรกร โดยรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรและดูแลต้นทุนผ่านโครงการ “ธงเขียว”

2.สร้างตลาดใหม่และขยายการค้า โดยปัจจุบันไทยมี FTA แล้ว 14 ฉบับ ครอบคลุม 18 ประเทศ และตั้งเป้าจะให้ FTA ไทย–สหภาพยุโรป และไทย–เกาหลีใต้ สำเร็จภายในปี 2568 และ

3.ลดภาระค่าครองชีพและพยุงกำลังซื้อ เช่น ความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยเพื่อลดค่าขนส่งสินค้า และดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนใน 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา โดยทุกมาตรการสามารถดำเนินการได้ภายใน 4 เดือน


นอกจากนี้ นางศุภจี ยังเสนอแนวทางเสริมศักยภาพประเทศใน 3 ด้าน คือ

1.ปรับโครงสร้างการค้าสินค้าเกษตรสู่เกษตรแม่นยำ เปลี่ยนจากระบบผลิตตามอุปทาน (Supply-driven) สู่การผลิตตามความต้องการตลาด (Demand-driven)

2.มุ่งสู่ตลาดอาหารแห่งอนาคต พัฒนาแบรนด์และนวัตกรรมอาหารให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Future Food ของภูมิภาค และ

3.พัฒนาระบบนิเวศทางการค้าสู่ดิจิทัล ยกระดับเศรษฐกิจไปสู่ Value-based Economy ผ่านเทคโนโลยีและระบบ Trade Intelligence รวมถึงบริการแพลตฟอร์ม “MOC+” แบบ One-stop Service


พร้อมย้ำว่ารัฐบาลต้องสร้างความเชื่อมั่น เอกชน คือ โอกาส ถ้าเราจับมือกันแข็งแรง ประชาชนจะได้ประโยชน์แน่นอน



นอกจากนี้นางศุภจี กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เศรษฐกิจนัดแรก ที่จะถึงในสัปดาห์หน้านั้น ทางฝั่งกระทรวงพาณิชย์จะมีการพูดคุย 2 เรื่อง คือ


1. เรื่องการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ


โดยขณะนี้มีการพูดคุยทางเทคนิคแล้ว โดยมีรายละเอียดที่ต้องพูดคุยกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยพยายามจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 และพูดคุยถึงรายละเอียดรายการประเภทสินค้าอย่างชัดเจน รวมถึงรายละเอียดในเรื่องของ ภาษีตอบโต้สหรัฐฯ คอนเทนต์ที่มาจากต่างประเทศ ที่จะทำให้ไทยได้ประโยชน์สูงสุด และทำให้ไม่มีปัญหาเรื่อง Transshipment มากจนเกินไป


ส่วน รัฐมนตรีพาณิชย์จะเป็นหัวหน้าทีมเจรจาทีมไทยแลนด์หรือไม่นั้น นางศุภจี ระบุว่า คณะรัฐมนตรีต้องมีการแต่งตั้ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการแต่งตั้ง โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าทีมเจรจาได้ แต่ในมุมของประเทศยังไม่ใช่ เพราะมีหลายกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่าคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจจะต้องมีการพูดคุยเรื่องนี้กันก่อน เพราะการเจรจาไม่ใช่กระทรวงพาณิชย์แต่ต้องนำภาคเอกชน และกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้องไปพูดคุยด้วย”


2.เรื่องการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA)


โดยปัจจุบันไทยมีการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ไว้แล้ว 14 ฉบับ ขณะเดียวกันไทยจะมีการดำเนินการเจรจา FTA เพิ่มเติมอีก 2 ฉบับให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 คือ ไทย-อียู และไทย-เกาหลีใต้ นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ ยังได้หารือกับภาคเอกชนอย่างสภาหอการค้าไทย โดยสภาหอการค้าฯ ได้ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับบางอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์จากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยได้มีการแลกเปลี่ยนรายละเอียดกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง