"รากาซา" จ่อทวีกำลังเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่น - ไทยฝนจะตกยาวถึง ต.ค.

เกาะติดพายุรากาซา ที่ทวีกำลังขึ้นเป็นไต้ฝุ่นแล้ว โดย อ.ชวลิต จันทรรัตน์ นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย และ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ ระบุว่า ยังต้องติตตามว่า ขณะเข้าฟิลิปปินส์จะรุนแรงมากน้อยแค่ไหน เพราะมีการคาดการณ์ว่า จะทวีกำลังเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นได้ 

แต่คาดการณ์ว่า จะลดความแรงลงเมื่อเข้า สปป.ลาว และจะเทียบได้กับพายุวิภา ที่ผ่านสปป.ลาวมาเข้าไทย โดย อ.ชวลิตระบุว่า ทิศทางจังหวัดที่จะได้รับผลกระทบจะเหมือนครั้งก่อนของพายุวิภา คือ เชียงราย แม่สาย และพะเยา แต่ไม่น่าห่วกับฝนตกหนัก ที่จะกระทบต่อเขื่อนสิริกิติ์ เนื่องจากเขื่อนสิริกิติ์พร่องน้ำไว้ล่วงหน้าแล้ว

ทั้งนี้ในตอนนี้ ถือเป็นภาวะฝนมาก จากมรสุม ที่เติมน้ำลุ่มภาคกลาง ไล่ลงมาถึง จ.อ่างทอง ซึ่งพายุที่เข้าจีนในไหหลำ ก็เหนี่ยวนำมรสุมของบ้านเราให้แรงขึ้น คาดว่า สภาพน้ำจะทรงตัวเช่นนี้ต่อไป โดยหลังจากวันแม่ 12 ส.ค.68 เป็นต้นมา หลายพื้นที่เจอกับฝนตกหนักมากต่อเนื่อง

ส่วนน้ำ เพชรบูรณ์ ทั้ง หล่มเก่า และหล่มสัก อ.ชวลิต เตือนว่า ต้องเตรียมรับน้ำที่จะมาขึ้นเย็นวันนี้ ซึ่งถือเป็นบทเรียนของการจัดการน้ำ ประชาชนต้องร่วมมือกับทุกหน่วยงาน สอดส่องเป็นหูเป็นตา รีบแจ้งฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคันกั้นน้ำ และต้องฝึกการใช้เครื่องสูบน้ำ เพราะถือว่า ทั้ง 2 ส่วนนี้มีความจำเป็นอย่างมาก ที่ประชาชนต้องเรียนรู้ และเตรียมพร้อม

ขณะที่ความกังวล เรื่องน้ำเจ้าพระยา จากเขื่อนเข้าพระยา คาดว่า น่าจะทรงสภาพเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และหากมีฝนตกลงมาเติม ก็อาจจะเพิ่มระบายสูงสุดไม่เกิน 2,500 ลบ.ม. ต่อวินาที แต่ก็เชื่อว่าแนวกั้นน้ำจะยังรับได้ ไม่ถึงขั้นล้น แต่จุดอ่อนที่อาจจะพังเสียหายได้ ก็ต้องระวังสอดส่องอย่างใกล้ชิด 

อย่างไรก็ตาม อ.ชวลิตมองว่า 10 ปีผ่านไป นับตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ประเทศไทย มีเทคโนโลยีการจัดการน้ำที่ดีขึ้น การรายงานน้ำผ่านศูนย์รวม จากทั้งกรมชลฯ สทนช. ทำงานร่วมกัน ประเมิณสถานการณ์ได้ดีมากขึ้น ดังนั้น การมีส่วนร่วมของชาวบ้าน จึงจะเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะมีส่วนในการทำให้น้ำท่วมรุนแรงลดลงได้