รีเซต

ตื่นซูเปอร์เวพ่อนสหรัฐฯโผล่ เทียบท่าเกาะกวมปรามชาติอริอินโด-แปซิฟิก

ตื่นซูเปอร์เวพ่อนสหรัฐฯโผล่ เทียบท่าเกาะกวมปรามชาติอริอินโด-แปซิฟิก
ข่าวสด
17 มกราคม 2565 ( 20:18 )
157

ตื่นซูเปอร์เวพ่อนสหรัฐฯโผล่ - วันที่ 17 ม.ค. ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาส่งอาวุธสุดยอดเข้าเทียบท่าที่เกาะกวม โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าเป็นการส่งสัญญาณป้องปรามต่อบรรดาชาติคู่ขัดแย้งท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

 

สุดยอดเขี้ยวเล็บดังกล่าวของกองทัพเรือสหรัฐฯ คือ ยูเอสเอส เนวาดา เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ หรือโอไฮโอ-คลาส ที่มีอาวุธเป็นขีปนาวุธวิถีโค้งไทรเดนท์ 20 ลูก ติดตั้งทั้งหัวรบระเบิดแรงสูง และหัวรบนิวเคลียร์ เข้าเทียบท่าที่ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่เกาะกวม มหาสมุทรแปซิฟิก

ยูเอสเอส เนวาดา ถูกพบเห็นเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเกาะกวม เมื่อ 15 ม.ค. (ซีเอ็นเอ็น)

 

เรือดำน้ำชนิดนี้ของสหรัฐฯ ได้รับขนานนามว่า "บูเมอร์" นับเป็นการเข้าเทียบท่าที่เกาะกวมครั้งแรกของยูเอสเอส เนวาดา ตั้งแต่ปี 2559 และเป็นการเข้าเทียบท่าอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 ที่ฐานทัพดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปี 2523

 

แถลงการณ์กองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า การเข้าเทียบท่าของเรือลำนี้เป็นการแสดงแสนยานุภาพให้เห็นถึงความพร้อม และความยืดหยุ่นทางยุทธศาสตร์ ตอกย้ำถึงความร่วมมือกับชาติพันธมิตรสหรัฐฯ และจุดยืนด้านเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค

 

ปกติแล้วเส้นทางการเดินเรือและตำแหน่งแห่งที่ของเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส 14 ลำ ของกองทัพสหรัฐฯ นั้นถือเป็นความลับสุดยอด โดยเรือชนิดนี้สามารถทำงานใต้น้ำได้นานหลายเดือน มีเพียงข้อจำกัดเรื่องเสบียงลูกเรือ 150 นายเท่านั้น

 

กองทัพเรือสหรัฐฯ เปิดเผยเพียงว่า เรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาสนั้นออกปฏิบัติภารกิจรอบละ 77 วัน และจะเข้าเทียบท่าเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อบำรุงรักษาและเติมเสบียงลูกเรือ โดยมีฐานทัพหลักอยู่ที่บังกอร์ แคว้นเวลส์ สหราชอาณาจักร และอ่าวคิงส์เบย์ รัฐจอร์เจีย รวมถึงรัฐวอชิงตัน สหรัฐฯ

 

เหตุที่ต้องเป็นความลับนั้นเนื่องมาจากเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส ถือเป็นอาวุธตามยุทธศาสตร์ "นิวเคลียร์ ไตรแอด" เป็นแสนยานุภาพเด็ดขาดเพื่อจัดการกับข้าศึกด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ หัวรบนิวเคลียร์จากไซโลภาคพื้นดิน จากเครื่องบินทิ้งระเบิด เช่น บี-2 และบี-52 รวมถึงจากทะเลด้วยเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส ทำให้เรือชนิดนี้ถูกพบเห็นได้ยากมาก

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทุกมิติที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่น กรณีไต้หวัน ทะลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ รวมถึงพฤติกรรมยั่วยุที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเกาหลีเหนือ ทำให้สหรัฐฯ ต้องแสดงแสนยานุภาพเพื่อส่งสัญญาณป้องปรามชาติคู่อริเหล่านี้

 

นายโธมัส ชูการ์ต อดีตนายทหารกองทัพเรือสหรัฐฯ และนักวิเคราะห์จากสถาบัน นิว อเมริกัน ซีเคียวริตี กล่าวว่า "เป็นการส่งสัญญาณไปยังคู่อริของเราครับ ว่าเราสามารถยิงถล่มพวกท่านด้วยนิวเคลียร์เป็นร้อยๆ ลูกได้โดยที่ยังไม่ทันรู้ตัว หรือรู้ไปก็ทำอะไรเราไม่ได้มากนัก หรือหากจะยิงถล่มเราก่อนก็รับรองว่าเจอเอาคืนน่วมแน่นอนครับ"

 

รายงานระบุว่า สหรัฐฯ เป็นชาติที่มีกองเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่จีนนั้นคาดว่ามีเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ 6 ลำ ส่วนเกาหลีเหนือนั้นยังอยู่ระหว่างการพัฒนา

 

นอกจากนี้ Center for Strategic and International Studies ยังมองว่า เรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ของจีนนั้นยังไม่มีสมรรถนะเทียบได้กับเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส เนื่องจากเรือดำน้ำจีนรุ่น ไทป์ 094 นั้นเสียงดังกว่าของสหรัฐฯ เป็นสองเท่า จึงถูกตรวจจับด้วยโซนาร์ได้ง่ายกว่า รวมถึงบรรทุกขีปนาวุธได้น้อยลูกกว่าของทางกองทัพเรือสหรัฐฯ

 

ศาสตราจารย์อเลสซิโอ พาลาตาโน ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์สงคราม คิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ มองว่า การปรากฎตัวของยูเอสเอส เนวาดา ยังเป็นโอกาสสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะได้สอดแนมและฝึกการล่าเรือของอีกฝ่ายขณะซ้อมรบด้วย

 

"เกาหลีเหนือกำลังซุ่มพัฒนาอยู่ ส่วนจีนนั้นมีกองเรือประเภทนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องฝึกฝนทักษะการไล่ล่าเรือประเภทนี้ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการเป็นอาวุธป้องปรามทางยุทธศาสตร์ไว้" ศ.พาลาตาโน ระบุ

 

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า แนวโน้มความตึงเครียดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และทางการสหรัฐฯ น่าจะเริ่มเข้ามาแสดงแสนยานุภาพในลักษณะนี้บ่อยขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลให้กับแสนยานุภาพระหว่างคู่ขัดแย้ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง