ตื่นซูเปอร์เวพ่อนสหรัฐฯโผล่ เทียบท่าเกาะกวมปรามชาติอริอินโด-แปซิฟิก
ตื่นซูเปอร์เวพ่อนสหรัฐฯโผล่ - วันที่ 17 ม.ค. ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กองทัพเรือสหรัฐอเมริกาส่งอาวุธสุดยอดเข้าเทียบท่าที่เกาะกวม โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าเป็นการส่งสัญญาณป้องปรามต่อบรรดาชาติคู่ขัดแย้งท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
สุดยอดเขี้ยวเล็บดังกล่าวของกองทัพเรือสหรัฐฯ คือ ยูเอสเอส เนวาดา เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ หรือโอไฮโอ-คลาส ที่มีอาวุธเป็นขีปนาวุธวิถีโค้งไทรเดนท์ 20 ลูก ติดตั้งทั้งหัวรบระเบิดแรงสูง และหัวรบนิวเคลียร์ เข้าเทียบท่าที่ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่เกาะกวม มหาสมุทรแปซิฟิก
เรือดำน้ำชนิดนี้ของสหรัฐฯ ได้รับขนานนามว่า "บูเมอร์" นับเป็นการเข้าเทียบท่าที่เกาะกวมครั้งแรกของยูเอสเอส เนวาดา ตั้งแต่ปี 2559 และเป็นการเข้าเทียบท่าอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 ที่ฐานทัพดังกล่าวตั้งแต่ช่วงปี 2523
แถลงการณ์กองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า การเข้าเทียบท่าของเรือลำนี้เป็นการแสดงแสนยานุภาพให้เห็นถึงความพร้อม และความยืดหยุ่นทางยุทธศาสตร์ ตอกย้ำถึงความร่วมมือกับชาติพันธมิตรสหรัฐฯ และจุดยืนด้านเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
ปกติแล้วเส้นทางการเดินเรือและตำแหน่งแห่งที่ของเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส 14 ลำ ของกองทัพสหรัฐฯ นั้นถือเป็นความลับสุดยอด โดยเรือชนิดนี้สามารถทำงานใต้น้ำได้นานหลายเดือน มีเพียงข้อจำกัดเรื่องเสบียงลูกเรือ 150 นายเท่านั้น
กองทัพเรือสหรัฐฯ เปิดเผยเพียงว่า เรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาสนั้นออกปฏิบัติภารกิจรอบละ 77 วัน และจะเข้าเทียบท่าเป็นเวลา 1 เดือน เพื่อบำรุงรักษาและเติมเสบียงลูกเรือ โดยมีฐานทัพหลักอยู่ที่บังกอร์ แคว้นเวลส์ สหราชอาณาจักร และอ่าวคิงส์เบย์ รัฐจอร์เจีย รวมถึงรัฐวอชิงตัน สหรัฐฯ
เหตุที่ต้องเป็นความลับนั้นเนื่องมาจากเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส ถือเป็นอาวุธตามยุทธศาสตร์ "นิวเคลียร์ ไตรแอด" เป็นแสนยานุภาพเด็ดขาดเพื่อจัดการกับข้าศึกด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ได้แก่ หัวรบนิวเคลียร์จากไซโลภาคพื้นดิน จากเครื่องบินทิ้งระเบิด เช่น บี-2 และบี-52 รวมถึงจากทะเลด้วยเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส ทำให้เรือชนิดนี้ถูกพบเห็นได้ยากมาก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทุกมิติที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เช่น กรณีไต้หวัน ทะลจีนตะวันออก และทะเลจีนใต้ รวมถึงพฤติกรรมยั่วยุที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเกาหลีเหนือ ทำให้สหรัฐฯ ต้องแสดงแสนยานุภาพเพื่อส่งสัญญาณป้องปรามชาติคู่อริเหล่านี้
นายโธมัส ชูการ์ต อดีตนายทหารกองทัพเรือสหรัฐฯ และนักวิเคราะห์จากสถาบัน นิว อเมริกัน ซีเคียวริตี กล่าวว่า "เป็นการส่งสัญญาณไปยังคู่อริของเราครับ ว่าเราสามารถยิงถล่มพวกท่านด้วยนิวเคลียร์เป็นร้อยๆ ลูกได้โดยที่ยังไม่ทันรู้ตัว หรือรู้ไปก็ทำอะไรเราไม่ได้มากนัก หรือหากจะยิงถล่มเราก่อนก็รับรองว่าเจอเอาคืนน่วมแน่นอนครับ"
รายงานระบุว่า สหรัฐฯ เป็นชาติที่มีกองเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่จีนนั้นคาดว่ามีเรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ 6 ลำ ส่วนเกาหลีเหนือนั้นยังอยู่ระหว่างการพัฒนา
นอกจากนี้ Center for Strategic and International Studies ยังมองว่า เรือดำน้ำติดหัวรบนิวเคลียร์ของจีนนั้นยังไม่มีสมรรถนะเทียบได้กับเรือดำน้ำโอไฮโอ-คลาส เนื่องจากเรือดำน้ำจีนรุ่น ไทป์ 094 นั้นเสียงดังกว่าของสหรัฐฯ เป็นสองเท่า จึงถูกตรวจจับด้วยโซนาร์ได้ง่ายกว่า รวมถึงบรรทุกขีปนาวุธได้น้อยลูกกว่าของทางกองทัพเรือสหรัฐฯ
ศาสตราจารย์อเลสซิโอ พาลาตาโน ผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์สงคราม คิงส์คอลเลจ มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ มองว่า การปรากฎตัวของยูเอสเอส เนวาดา ยังเป็นโอกาสสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะได้สอดแนมและฝึกการล่าเรือของอีกฝ่ายขณะซ้อมรบด้วย
"เกาหลีเหนือกำลังซุ่มพัฒนาอยู่ ส่วนจีนนั้นมีกองเรือประเภทนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องฝึกฝนทักษะการไล่ล่าเรือประเภทนี้ เพื่อรักษาขีดความสามารถในการเป็นอาวุธป้องปรามทางยุทธศาสตร์ไว้" ศ.พาลาตาโน ระบุ
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า แนวโน้มความตึงเครียดในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกนั้นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และทางการสหรัฐฯ น่าจะเริ่มเข้ามาแสดงแสนยานุภาพในลักษณะนี้บ่อยขึ้น เพื่อสร้างความสมดุลให้กับแสนยานุภาพระหว่างคู่ขัดแย้ง