ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางไหน อันตรายไหม และมีอาการอย่างไร เช็กที่นี่
ไวรัสตับอักเสบบี ถือเป็นอีกโรคใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม และองค์การอนามัยโลก ยังเฝ้าระวังโรคตับอักเสบระบาดรุนแรงในเด็ก มากขึ้น หลังจากพบเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี ป่วยสูงขึ้น รวมถึงคกก.พัฒนาระบบยาฯ เห็นชอบปรับปรุง “ยาไวรัสตับอักเสบซี-ตับอักเสบบีดื้อยา” เข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ ช่วยคนไทยเข้าถึงยามากขึ้น ราคายาไม่แพง และผลิตได้เองในประเทศ
วันนี้ TrueID จึงจะพามารู้จัก โรคไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางไหน อันตรายไหม และมีอาการอย่างไร
รู้จักโรคไวรัสตับอักเสบ คืออะไร
“ไวรัสตับอักเสบ” จัดเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง แม้อาการของโรคจะไม่รุนแรงก็ตาม ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้มากกว่า 350 ล้านคน โดยไวรัสตับอักเสบ สามารถถ่ายทอดเชื้อสู่ผู้อื่นได้ และเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ โดยมี 5 ชนิด ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสตับอักเสบที่เป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ บีและซี โดยสามารถแบ่งอาการออกเป็น 2 ระยะ คือ โรคตับอักเสบเฉียบพลัน และโรคตับอักเสบเรื้อรัง
สำหรับอาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน คือ ตัวเหลือง ตาเหลือง มีไข้ ปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งผู้ที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบี มีเพียงร้อยละ 5-10 ที่มีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง จะมีอาการนานเกินกว่า 6 เดือน
ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อทางไหน?
- มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
- ใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหู
- ใช้แปรงสีฟันร่วมกัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ
- แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90 % และให้นมตัวเอง
- ถูกเข็มตำจากการทำงาน
- รักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
- โดยการสัมผัสกับ เลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โดยผ่านเข้าทางบาดแผล
ไวรัสตับอักเสบบี อาการอย่างไร?
- มีไข้สูง
- อ่อนเพลียตลอดเวลาคล้ายเป็นหวัด
- ตัวเหลืองตาเหลือง
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ไม่อยากอาหาร
- น้ำหนักลด
- เจ็บบริเวณช่องท้อง
- จุกแน่นใต้ชายโครงขวาจากตับโต
- คันตามผิวหนัง
- เจ็บตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- ปัสสาวะมีสีเข้ม และอุจาระเป็นสีเทาหรือซีด
เว็บไซต์โรงพยาบาลวิภาวดีระบุว่า อาการไวรัสตับอักเสบบี จะเกิดหลังได้รับเชื้อประมาณ 45-90 วัน บางรายอาจจะนานถึง 180 วัน ผู้ป่วยที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามตัวมีไข้ แน่นท้อง ถ่ายเหลวเป็นอยู่ 4-15 วันหลังจากนั้นจะมี ตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะสีเข็ม อาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไปภายใน 1-4 สัปดาห์บางรายอาจเป็นนานถึง 6 สัปดาห์ จึงสามารถทำงานได้ปกติ
วิธีตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี
- เจาะเลือดตรวจค่าการทำงานของตับ (liver function test)
เจาะเลือดตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี - ตัดชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจ แต่การตรวจนี้ไม่ได้ทำในผู้ป่วยทุกราย ทำเฉพาะในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่ต้องการติดตามการดำเนินไปของโรค
วิธีการลดความเสี่ยงของโรคไวรัสตับอักเสบ
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะการตรวจเช็คตับให้ได้ปีละครั้ง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค
ข้อมูล โรงพยาบาลวิภาวดี , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ , เพจเฟซบุ๊ก PR รพ.กลาง