“ปัญหาขาดแคลนน้ำ” ในอัฟกานิสถานกำลังวิกฤต แม้แต่น้ำใต้ดินก็แทบไม่มีเหลือ

“กรุงคาบูล” เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน กำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างหนักจนเข้าขันวิกฤต และสถานการณ์จะเลวร้ายลงเรื่อยๆ โดยสาเหตุมาจากการเติบโตของเมืองที่ไร้ระเบียบและการวางแผน การบริหารจัดการน้ำที่ล้มเหลวจากความขัดแย้ง การสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาเกินพิกัด รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายลงไปกว่าเดิม ก่อนหน้านี้องค์การยูนิเซฟเตือนว่า ภายในปี 2030   กรุงคาบูลอาจจะไม่เหลือน้ำใต้ดินอีกต่อไป หากไม่มีการจัดการและบริหารการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ประชากรในกรุงคาบูลพุ่งสูงกว่า 6 ล้านคน ในขณะที่ระบบน้ำประปาสามารถรองรับการใช้งานได้เพียงแค่ร้อยละ 20 เท่านั้น 

รายงานจาก NGO Mercy Corps ระบุว่า น้ำที่ใช้อุปโภคและบริโภคในกรุงคาบูลส่วนใหญ่มาจากน้ำใต้ดิน และพบว่ากว่าร้อยละ 80 มีการปนเปื้อนในน้ำ ซึ่งภายในเมืองมีการเจาะบ่อบาดาลกว่า 100,000 บ่อโดยไร้การควบคุม บ่อบาดาลหลายบ่อมีน้ำน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ต้องขุดเจาะบ่อให้ลึกขึ้นกว่าเดิมถึงสองเท่า เพื่อให้ได้ปริมาณน้ำเท่าเดิม ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมีมากขึ้นทุกวัน 

บ่อน้ำในกรุงคาบูลแห่งหนึ่งถูกใช้งานมานานกว่า 7 ปี และปริมาณน้ำลดลง ขณะที่บ่อน้ำบาดาลอีก 2 บ่อในละแวกนั้นแห้งสนิทไปแล้ว เมื่อมีน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ หลายครอบครัวต้องหันไปพึ่งพาน้ำสะอาดจากรถขายน้ำ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าปกติถึง 2 เท่า ซึ่งถือเป็นภาระที่หนักหนาสำหรับประชากรในประเทศที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน และมีจำนวนมากถึงร้อยละ 85 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ทำให้เงินรายได้ที่มีต้องหมดไปกับค่าน้ำสำหรับใช้อุปโภคและบริโภค

แม้ว่ากระทรวงน้ำและพลังงานของรัฐบาลมีแผนบริหารจัดการน้ำโดยดึงน้ำจากแม่น้ำปัญจ์ชีร์มาใช้ในกรุงคาบูล แต่ก็ติดปัญหาด้านงบประมาณ เพราะต้องใช้เงินทุนมากถึง 300-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงข้อจำกัดทางด้านเทคนิค ซึ่งในอนาคตหากไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ความแห้งแล้งจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่มีทางย้อนกลับได้อีก