รู้หรือไม่ Apple ใช้เวลา 17 ปี ในการสร้าง Apple Vision Pro ขึ้นมา !
แอปเปิล วิชัน โปร (Apple Vision Pro) ผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดจากแอปเปิล (Apple) ที่คล้ายผลิตภัณฑ์แว่นตา VR หรือ AR ได้สร้างกระแสและชื่อเสียงบนโลกออนไลน์และได้รับความนิยมทั่วโลก แม้ว่าทางบริษัทเรียกว่าเป็นนิยามใหม่ของคอมพิวเตอร์ (Spatial Computer) ก็ตาม ซึ่งการพัฒนาในครั้งนี้ มีข้อมูลหลุดออกมาว่าเกิดขึ้นมาจากสิทธิบัตรที่ยื่นจดตั้งแต่ปี 2007
Apple Vision Pro ถูกจดสิทธิบัตรมาตั้งแต่ปี 2007
บัญชีผู้ใช้แพลตฟอร์มเอกซ์ (X) หรือทวิตเตอร์ (Twitter) เอียน เซลโบ (Ian Zelbo) เปิดเผยภาพที่เชื่อว่าเป็นร่างแบบแรกของผลิตภัณฑ์ Apple Vision Pro ที่ Apple ยื่นต่อสำนักสิทธิบัตร และเครื่องหมายการค้าของสหรัฐอเมริกา (The U.S. Patent and Trademark Office: USPTO) ในปี 2007 ก่อนที่จะได้รับอนุมัติในปี 2013 พร้อมกันนี้ยังมีสิทธิบัตรกว่า 5,000 รายการ ที่ยื่นจดกับหน่วยงาน USPTO ระหว่างปี 2007 - 2021 ซึ่งได้นำมาพัฒนา Apple Vision Pro ตามรายงานบนเว็บไซต์ไมน์ซอฟต์ (Minesoft) บริษัทโซลูชันด้านสารสนเทศและซอฟต์แวร์ (Software)
หนึ่งในสิทธิบัตรที่ทาง Minesoft เปิดเผยคือ สิทธิบัตรหมายเลข US 20230102507 ที่ยื่นจดแจ้งในปี 2021 สิทธิบัตรดังกล่าวเป็นการจดสิทธิ์ในการพัฒนาระบบติดตามดวงตา (Eye-tracking) และการจดจำลักษณะท่าทางของดวงตา (Gesture recognition) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในจุดเด่นของ Apple Vision Pro ทั้งในเชิงประสิทธิภาพ ความเป็นธรรมชาติในการใช้งานและความแม่นยำ
Apple Vision Pro: จากสิทธิบัตรสู่ผลิตภัณฑ์เขย่าโลก
ปัจจุบัน Apple มีการจดสิทธิบัตรมากกว่า 95,550 รายการ โดยมีสิทธิบัตรมากกว่า 78,104 รายการ ที่นำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ซึ่งวางจำหน่ายในปัจจุบัน ซึ่งแปลว่า Apple ยังคงมีนวัตกรรมที่รอการพัฒนาอยู่ในมืออย่างมีนัยยะสำคัญ เพียงแต่รอการพัฒนาในช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
ในขณะที่บรรยากาศการใช้งาน Apple Vision Pro ทั่วโลกต่างได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดี โดยมีหลายรายที่มองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เรียกได้ว่าใหม่อย่างแท้จริงสำหรับ Apple รวมไปถึง เล็กซัส เฉิน (Lexus Chen) นักศึกษาชาวจีนที่มาศึกษาและอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก ให้ความเห็นกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) ว่า "ผมว่า Apple พยายามให้เราอยู่กับสิ่งรอบตัวมากขึ้น ซึ่งผมว่านั่นเป็นสัญญาณที่ดี เพราะพวกแว่นตา VR หรือ AR อื่น ๆ เหล่านั้นพยายามจับคุณแยกออกจากสิ่งรอบตัว ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ดังนั้น ผมเลยคิดว่า Apple มาถูกทางแล้ว"
ภาพจาก Apple