รีเซต

"โตโยต้า" อั้นไม่ไหว ขึ้นราคาขายรถในสหรัฐฯ

"โตโยต้า" อั้นไม่ไหว ขึ้นราคาขายรถในสหรัฐฯ
TNN ช่อง16
3 กรกฎาคม 2568 ( 08:00 )
24

โตโยต้าขึ้นราคาแม้ไม่มาก แต่สะเทือน 


บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor) ของญี่ปุ่น

ประกาศว่าเตรียมปรับขึ้นราคารถยนต์บางรุ่นที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา 

โดยจะมีผลตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ (2568 )เป็นต้นไป 

ซึ่งราคาจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6,500 บาท


การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาวิกฤตของค่ายรถต่างๆทั่วโลก

โดยเฉพาะเจ้าตลาดอย่างค่ายญี่ปุ่น

เพราะผู้ผลิตรถยนต์ต้องเจอกับภาษีทรัมป์

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ 

ได้ประกาศใช้มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วน มากถึง 25 %


ข้อมูลจาก "โนบุ สุนางะ" โฆษกของโตโยต้าเปิดเผยว่า 

รถบางรุ่นในแบรนด์โตโยต้า (Toyota) และเลกซัส (Lexus) 

จะปรับราคาขึ้นเฉลี่ยที่ 270 ดอลลาร์ และ 208 ดอลลาร์ตามลำดับ

ในตลาดสหรัฐฯ 


เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า การปรับราคาครั้งนี้

ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทบทวนตามปกติ 

โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านสภาวะตลาดและการแข่งขัน 

และไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติมต่อสื่อหรือสาธารณะชนมากไปกว่านี้


ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ " มิตซูบิชิ มอเตอร์ส " (Mitsubishi Motors) 

อีกหนึ่งค่ายรถของญี่ปุ่นก็เพิ่งประกาศปรับขึ้นราคารถไปเช่นกัน

เป็นรถยนต์ 3 รุ่นในตลาดสหรัฐฯ และปรับขึ้นราคาในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

โดยให้เหตุผลว่า เป็นปรับขึ้นเพราะภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงกดดันต้นทุนการผลิต


ราคารถยนต์ในสหรัฐฯ จะแพงขึ้น เพราะภาษีทรัมป์ 

นี่เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้แต่แรก 

จากภาษีนำเข้ามหาโหด สูงถึง 25% 

แม้สหรัฐฯจะมีโรงงานรถยนต์อยู่บ้าง แต่ค่ายรถส่วนใหญ่

ก็ยังนำเข้าชิ้นส่วนและผลิตหลายรุ่นในต่างประเทศ


 ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 

โตโยต้าเคยออกมายืนยันว่าจะยังไม่ขึ้นราคารถยนต์ในสหรัฐฯ แม้ทรัมป์ขึ้นภาษีศุลกากร

"โยอิจิ มิยาซากิ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (ซีเอฟโอ) 

ของบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป (Toyota Motor Corp.) 

กล่าวว่า บริษัทยังไม่มีการพิจารณาปรับขึ้นราคารถยนต์ในสหรัฐฯ 

“ในระยะเวลาอันใกล้นี้” 

แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะปรับขึ้นภาษีศุลกากรแล้วก็ตาม


มิยาซากิกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า 

โตโยต้าจะตอบสนองต่อการปรับขึ้นภาษีศุลกากร 

“ในเวลาที่เหมาะสม” และจะขึ้นอยู่กับภาวะตลาด

แต่ผ่านมาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น

ก็มีการประกาศขึ้นราคาแล้ว 

แปลว่าเวลานี้คงจะเหมาะสมสำหรับโตโยต้าแล้วนั่นเอง


ทั้่งนี้โตโยต้าคาดว่ากำไรสุทธิของบริษัทจะลดลง

จากปัจจัยภาษีทรัมป์ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงหลายด้าน

โดยรายงานคาดการณ์ผลประกอบการในปีงบการเงินปัจจุบัน

ซึ่งสิ้นสุดเดือนมี.ค. 2569 

บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลง 34.9% 

สู่ระดับ 3.1 ล้านล้านเยน (2.16 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) 


ขณะเดียวกันโตโยต้าคาดการณ์ว่า 

กำไรจากการดำเนินงานจะอยู่ที่ 3.8 ล้านล้านเยน ลดลง 20.8% 

จากปีงบการเงิน 2567 

ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของการประมาณการว่า

ยอดขายจะอยู่ที่ 48.5 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 1%


อย่างไรก็ตามต้องจับตากันให้ดี

เพราะปีงบที่ผ่านมา กำไรสุทธิของโตโยต้าก็เริ่มหดตัวแล้ว

รายงานปีงบการเงิน 2567 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อเดือนมี.ค.ปีนี้

ระบุว่าโตโยต้ามีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.77 ล้านล้านเยน ลดลง 3.6% 

เมื่อเทียบกับปีงบการเงินก่อนหน้า 

มียอดขายอยู่ที่ 48.04 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 6.5%




คนกลัวภาษีทำรถแพงขึ้น เร่งซื้อรถโตโยต้า ทำยอดขายสูงสุด


ใครๆก็กลัวภาษีทรัมป์ 

และทำให้การส่งออกและนำเข้าเร่งตัวอย่างมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

แน่นอนว่ารถของโตโยต้าก็เช่นกัน

ทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์


ยอดขายสูงสุด ยอดผลิตสูงสุด เกิดขึ้นแล้ว

แต่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร 

ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกของโตโยต้าล่าสุด

เดือนเมษายนที่ผ่านมา เติบโตได้ถึง 10% 

แถมยอดขายยังไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 876,864 คัน 

ส่วนการผลิตรถยนต์ทั่วโลกในเดือนเมษายนก็เพิ่มขึ้น 7.8% 

แตะระดับ 814,787 คัน เป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยเช่นกัน


ทั้งนี้ยอดขายรถยนต์นอกประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 9.7% สู่ระดับ 756,190 คัน 

โดยในจำนวนนี้ที่ว่ามีรถยนต์ที่ขายในสหรัฐฯ มากถึง  233,045 คัน

เพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบรายปี


ยอดขายรถยนต์ของโตโยต้าได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ทั่วโลกเร่งสั่งของ เร่งซื้อของ

ก่อนที่สหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีรถยนต์นำเข้า 

โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ 

ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม 25% สำหรับรถยนต์ที่ผลิตนอกประเทศสหรัฐฯ 

เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา


มีรายงานว่ายอดขายรถยนต์ของค่ายรถญี่ปุ่นทุกยี่ห้อที่ขายในสหรัฐฯ

พุ่งขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญจากภาษีของทรัมป์

เมื่อมัดรวม 4 ค่าย ตั้งแต่โตโยต้า ฮอนด้า ซูบารุ และ มาสด้า 

พบว่าเดือนเมษายนที่ผ่านมา

มียอดขายรถในสหรัฐอเมริการวมกัน 464,372 คัน

เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

โดยเฉพาะมาสด้าที่พุ่งไปกว่า 21% 

เพราะลูกค้าในสหรัฐฯ กลัวภาษีทรัมป์  รีบซื้อรถก่อนที่ราคาจะพุ่ง 

โดยเฉพาะรถไฮบริดและรถเอสยูวีที่ขายดีที่สุด


สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า รถยนต์มาสด้าส่วนใหญ่ที่ขายในสหรัฐฯ นั้น

นำเข้ามาจากญี่ปุ่น คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% 

ขณะที่ซูบารุมีสัดส่วน 50% 

โตโยต้าราว 20% 

และฮอนด้าเพียง 1% 

แต่ว่าโตโยต้าและฮอนด้าในสหรัฐฯ 

นำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศอื่นนอกเหนือจากญี่ปุ่นด้วย


สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า 

แม้โตโยต้าระบุทางบริษัทจะไม่ผลักภาระต้นทุนภาษีศุลกากร

ไปให้กับผู้บริโภคในสหรัฐฯ 

แต่ในมุมนักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมยานยนต์มองว่า

โตโยต้าคงหนีได้ยาก

ถ้าหากต้องแบกภาษีไปนานๆ 


ทั้งนี้ สหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของโตโยต้า 

คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 20% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก 

ภาษีศุลกากรเหล่านี้จึงอาจส่งผลกระทบ

อย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัท


ขณะที่ในปีงบการเงินปัจจุบัน 

โตโยต้ายังตั้งเป้าว่าจะเติบโตได้อยู่

โดยระบุว่าบริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายรถยนต์

 11.2 ล้านคันทั่วโลก เพิ่มขึ้น 1.7%



ศึกตลาดรถญี่ปุ่นรอบด้าน ภาษีทรัมป์- อีวีจีน


ถือว่าเป็นเกมศึกครั้งใหญ่ของโตโยต้า

หลังจากนี้  เพราะนอกจากภาษีทรัมป์แล้ว

อย่าลืมว่ายังมีอีวีมาแย่งชิงตลาดด้วยอีก 

และการรุกตลาดของค่ายรถอีวี


อีวีจีนมาแรงอย่างมากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา

และกำลังเขย่าขวัญโตโยต้าที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งด้านยอดขายของโลก 

โดยเฉพาะบีวายดี อีวีสัญชาติจีน 

ที่มียอดขายพุ่งแรงแบบก้าวกระโดด

รายงานข่าวบอกว่าบีวายดีสามารถแซงโตโยต้าได้แล้วด้วยในบางประเทศ

เช่น สิงคโปร์  ที่โตโยต้าเสียแชมป์ไปแล้ว 


บีวายดี (BYD) ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของจีนขึ้นแท่น

แบรนด์รถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสิงคโปร์

ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 

ทำยอดขายแซงหน้าโตโยต้า (Toyota) แบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก 


ข้อมูลระบุว่า บีวายดีจำหน่ายรถยนต์ได้ 3,002 คัน 

หรือครองส่วนแบ่งถึง  20% 

ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในสิงคโปร์ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้  

ขณะที่โตโยต้าจำหน่ายรถยนต์ได้ 2,050 คัน ในช่วงเวลาดังกล่าว 

โดยบีวายดีตั้งเป้าที่จะจำหน่ายรถยนต์ครึ่งหนึ่งนอกตลาดจีนภายในปี 2573 

ซึ่งจะทำให้บีวายดีกลายเป็นคู่แข่งของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก


โตโยต้าเคยครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ยอดนิยมในสิงคโปร์ 

ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองที่มีค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถยนต์สูงที่สุดในโลก 

บีวายดีรุกตลาดรถยนต์เพื่อผู้บริโภคสิงคโปร์ในปี 2565 

ซึ่งช้ากว่าเทสลากว่า 1 ปี แต่ยอดขายกลับแซงหน้าและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง 


ขณะที่โตโยต้าก็กำลังหาทางสู้ในทุกรูปแบบ 

รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งด้วยการควบรวมกิจการ

ล่าสุดโตโยต้า มอเตอร์ (Toyota Motor) และเดมเลอร์ ทรัค (Daimler Truck) 

เปิดเผยเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า 

ทั้งสองบริษัทได้ตกลงรวมบริษัทรถบรรทุกในญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน 

โดยจะจัดตั้งบริษัทใหม่ เพื่อรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ 

ทั้งการลดการปล่อยคาร์บอน และการแข่งขันกับคู่แข่งต่างชาติที่กำลังเติบโต


ภาษีทรัมป์พ่นพิษ อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกสั่นคลอน จะเป็นอย่างไรต่อไป

จับตากันให้ดี จากขึ้นราคาของโตโยต้าในวันนี้ จะไปจบลงที่ตรงไหน 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง