รีเซต

ลุ้นหุ้นไทยไปต่อ ! หลัง “อนุทิน” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 บริษัทไหนน่าลงทุน เช็กที่นี่?

ลุ้นหุ้นไทยไปต่อ !  หลัง “อนุทิน” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 บริษัทไหนน่าลงทุน เช็กที่นี่?
TNN ช่อง16
6 กันยายน 2568 ( 16:29 )
8

สภาผู้แทนราษฏรโหวตท่วมท้น 311 เสียง ดัน"อนุทิน ชาญวีรกูล" หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยผงาด นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32  ชนะขาด“ ชัยเกษม นิติสิริ” จากพรรคเพื่อไทยได้คะแนนโหวตเพียง 152 เสียง   โดยหุ้นไทยเด้งรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ปิดตลาดเมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมาที่ระดับ 1,264.80 จุด พุ่ง 12.25 จุด  หรือ0.98% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 51,657.81 ล้านบาท 

ส่วนทิศทางหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร หลัง “อนุทิน” เป็นนายกฯ  และสถิติในอดีตเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นมากน้อยแค่ไหนวันนี้พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ 

เริ่มจาก “ภราดร  เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า ไทม์ไลน์การเมืองมีความชัดเจน หลังสภาฯ โหวตให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32 ตาม MOA ทำงาน 4 เดือน หลังจากนั้นยุบสภาฯ   ซึ่งจากข้อมูลในอดีตเมื่อมีเหตุการณ์เปลี่ยนผ่านผู้นำหุ้นทางการเมือง หลังจากสภาฯ โหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ หุ้นจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.7%-2% ในช่วง 1 สัปดาห์หลังจากนั้น  

  • วันที่ 15 ธ.ค. 2551  รัฐสภาเลือก "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"  เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยขึ้น 0.5% 
  • วันที่ 5 ส.ค. 2554 รัฐสภาลงมติเลือก "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยไม่เปลี่ยนแปลง
  • วันที่ 5 มิ.ย. 2562 รัฐสภาลงมติเลือก  "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยขึ้น 1.4% 
  • วันที่ 13 ก.ค. 2566 รัฐสภาลงมติรอบแรก เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี โดยเสนอชื่อ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" (ไม่ได้รับเสียงข้างมาก) หุ้นไทยขึ้น 2%
  • วันที่ 22 ส.ค. 2566 รัฐสภาลงมติเลือก "เศรษฐา ทวีสิน" เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยขึ้น 1.3%   
  • วันที่ 16 ส.ค. 2567 รัฐสภาลงมติเลือก "แพทองธาร ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี หุ้นไทยขึ้น 4.75% 
  • ทั้งนี้ถ้าเทียบเคียงกับเกาหลีใต้ที่ได้ประธานาธิบดีคนใหม่เดือนมิ.ย. หลังจากนั้น 3 เดือนดัชนีหุ้นเกาหลีใต้ขึ้น 18%

ส่วนปัจจัยที่ติดตามสัปดาห์หน้าตัวเลขส่งออกจีนคาดว่าโต 5.4% จากเดิมโต 7.2% และวันที่ 9 ก.ย.ศาลตัดสินคดี “ทักษิณ ชินวัตร” ปมชั้น 14  วันที่ 11 ก.ย. ประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คาดขยับเพิ่มขึ้น 2.9%   ประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 1.230 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,250 จุด แนวต้านที่ 1,280-1,300 จุด  

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเก็งกำไรหุ้นการเมืองได้ SENTIMENT หรือกระแสบวกสั้นๆ เช่น STECON ราคาเป้าหมาย 9  บาท  หุ้น STPI  หุ้น PTG ราคาเป้าหมาย 8.50  บาท GUNKUL  ราคาเป้าหมาย 2.50  บาท และหุ้นที่ได้รับผลบวกจากการซ่อมถนน เช่น  TASCO ราคาเป้าหมาย  19.40 บาท 

ทั้งนี้หากในปี 69 มีการเลือกตั้งใหม่จะเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 30 ปี ที่การเลือกตั้งทั่วประเทศพร้อมกับการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพ มหานคร(กทม.) จะเกิดขึ้นในปีหน้า 


ซึ่งในอดีตเคยเกิดขึ้นในปี 39 ที่นายบรรหาร ศิลปะอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่นายพิจิตต รัตตกุล เป็นผู้ว่ากทม. แนะนำหุ้น PLANB ราคาเป้าหมาย   8 บาท, BEC ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง มีการทำป้ายโฆษณาโปรโมทการเลือกตั้ง 


ขณะที่หุ้นได้รับผลบวกจากนโยบายประชานิยมในช่วง 4 เดือน เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของพรรคภูมิใจไทย เลือก CPALL  ราคาเป้าหมาย 66.50  บาท BJC  ราคาเป้าหมาย 22.80  บาท รวมถึงหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดดอกเบี้ยลงในอนาคตปีหน้าคาดว่าดอกเบี้ยลงต่ำกว่า 1% จากปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.5% แนะนำ MTC ราคาเป้าหมาย 45  บาท , AP ราคาเป้าหมาย 10.30   บาท

  ตั้งแต่เกิดคลิปเสียงหลุด 17 มิ.ย.ที่ผ่านมาดัชนีลงไปแตะต่ำสุดที่ 1,060 จุด และปัจจุบันดัชนีแตะที่ระดับ 1,260 จุด ดัชนีหุ้นไทยขึ้นมา 19% หรือประมาณ 200 จุด ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองคาดว่า SET Index ยังไปต่อ เพราะ Valuation หุ้นไทยไม่แพง   P/E อยู่ที่ 14.6 เท่า P/BV 1.18 เท่า คาดว่าจะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลกลับเข้ามาหุ้นไทย

ด้าน “กรรณ หทัยศรัทธา”  หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)  มองว่า  การบริหารประเทศในช่วงสั้น ของรัฐบาลใหม่อาจจะไม่มีโครงการขนาดใหญ่ การแจกเงินหรือการใช้โครงการประชานิยมอาจจะสุ่มเสี่ยงถูกฝ่ายค้านตรวจสอบ ซึ่งต้องจับตารอดูว่ารัฐบาลใหม่จะมีมาตรการอะไรที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ  เช่น การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลน เป็นต้น ส่วนงบประมาณปี 69 ไม่มีปัญหา เพราะผ่านสภาฯเรียบร้อยแล้วคาดว่าจะมีการเบิกจ่ายปกติ โดยให้กรอบการเคลื่อนไหวดัชนีที่ 1,300-1,320 จุด

“ถ้าครบกำหนดตามที่พรรคภูมิใจไทยให้สัญญาไว้กับพรรคประชาชนจะสิ้นสุดในเดือนม.ค.ปี 69 อาจจะมีการเลื่อนออกไปในไตรมาส 1ปี 69 ก่อนที่จะยุบสภา โดยมองปีหน้าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ คาดจีดีพีปีนี้โต 2.2% แต่ปีหน้าโตเพียง 1.5% เนื่องจากส่งออกชะลอตัวจากเจอฐานสูงในปี 68 ไม่มีโครงการลงทุนใหม่ เพราะต้องรอรัฐบาลใหม่ นอกจากนี้ภาคธุรกิจและครัวเรือนยังเจอปัญหาหนี้สูง และเงินบาทแข็งค่า หลังดอลลาร์อ่อน

ส่วนหุ้นที่ตอบรับเชิงบวกจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ STECON  แม้เกินราคาเป้าหมาย 8.50 บาทแต่ยังไปต่อได้ เหมือนในช่วงที่ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกรัฐมนตรีหุ้น SIRI ก็ปรับตัวขึ้น หุ้นถัดมาคือ CPALL - ทำกำไรสม่ำเสมอแม้ว่า SSSG จะอ่อนตัว (ADD)  โดย CPALL  กําไรสุทธิ 6.8 พันล้านบาท (+8.5% yoy, -10.8% qoq) ใน 2Q25 ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการของเราและ Bloomberg consensus  แม้ว่า SSSG ยังมีแนวโน้มอ่อนตัว แต่ CPALL น่าจะยังมีกำไรสุทธิเติบโตใน 3Q25 จาก GPM ที่สูงขึ้น ยังแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายเดิม 61.50 บาท

ด้านทิศทางดอกเบี้ยมองว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปลายปีนี้ โดยหุ้นแบงก์แม้ว่ารายได้ลดลง แต่แบงก์ใหญ่ยังมีกำไรเกิน 10,000 ล้านบาท  และหุ้นกลุ่มแบงก์ทุกตัวปันผลสูง เลือก KTB  งบดุลแข็งแกร่ง (ADD) อัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 2025-26 ของ KTB น่าจะมี upside จากสินเชื่อรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ และสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่  

ซึ่งได้ปรับประมาณการ EPS ในปี FY25-27 ขึ้น 6.1-10.9% หลังปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย และปรับลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ โดยแนะนำ “ซื้อ” KTB และราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 28.60 บาท

หุ้นตัวต่อมาคือ GULF - วางรากฐานในสินทรัพย์เพื่อความยั่งยืนระยะยาว (ADD) ซึ่งมอง GULF ค่อยๆ ดำเนินกลยุทธ์การเติบโต โดยมีแผนงานลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน, LNG และสร้างผลกำไรจากสินทรัพย์หลักๆอย่างต่อเนื่อง ในปี FY25F นอกเหนือจากปัจจัยหนุนที่สำคัญเช่นโรงไฟฟ้าปลวกแดง โรงไฟฟ้าหินกอง และเงินลงทุนใน ADVANC แล้ว การเติบโตยังขับเคลื่อนจากการถือ 49% ในโรงไฟฟ้า Jackson และธุรกิจ Data centre   อย่างไรก็ตาม การมีงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้น Net D/E 0.9x ทำให้ GULF เตรียมงบลงทุน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในช่วงห้าปีข้างหน้า พร้อมทั้งมองหาโอกาสซื้อกิจการในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน

ปิดท้ายที่  ชาญชัย พันทาธนากิจ” ผู้อำนวยการอาวุโส บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)  ประเมินว่า   การเมืองชัดเจนทำให้ตลาดตอบรับในเชิงบวก ซึ่งต้องรอดูการฟอร์มรัฐบาลว่าใครจะได้เป็นรัฐมนตรีบ้าง หลังจากนั้นรัฐบาลจะนำครม.ชุดใหม่ ถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ และแถลงนโยบายต่อสภาฯ คาดใช้เวลาประมาณ 1 เดือน โดยจะเป็น sentiment เชิงบวกต่อตลาด และดึงความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

ทั้งนี้คาดว่าจะเห็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสั้น ๆ ซึ่งจะอิงนโยบายที่พรรคภูมิใจไทยเคยหาเสียงไว้ เช่น มาตรการกระตุ้นฐานรากให้เงินกู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท พักหนี้ 3 ปีทั้งต้นและดอกไม่เกินคนละ 1 ล้านบาท หรือเพิ่มค่าตอบแทนอสม. เป็น 2,000 บาทต่อเดือน โดยเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ส่วนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดว่าแกว่งไซด์เวย์-ไซด์เวย์อัพ หลังการเมืองคลี่คลาย คาดแนวรับอยู่ที่ 1,250 จุด แนวต้านอยู่ที่ 1,280-1,290 จุด  โดยหุ้นได้ประโยชน์ทางด้านการเมือง เช่น หุ้นรับเหมา แนะนำ CKSTECON และหุ้นได้รับผลบวกจากดอกเบี้ยขาลง เช่น MTC SAK เป็นต้น

แม้ว่ารัฐบาล “อนุทิน” เข้ามานั่งบริหารประเทศเพียงระยะสั้น แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือแนวทางในการบริหารประเทศในรูปแบบใหม่ก่อนนำไปสู่ขั้นตอนการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ในปีหน้า คาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะช่วยนำพาประเทศผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน  รับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางการค้า โดยเฉพาะภาษีทรัมป์ หากทำให้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้ นักลงทุนก็จะมีความเขื่อมั่นต่อตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นได้แน่นอน.....

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง