SINGERปักธงปีนี้โต50% เครื่องใช้ไฟฟ้า-สินเชื่อพุ่ง

SINGER มองเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว ดีมานด์เครื่องใช้ไฟฟ้า-สินเชื่อขยายตัวดีต่อเนื่อง วางเป้าผลงานปี 2566 เติบโตไม่ต่ำกว่า 50% จากปีก่อน ด้านกูรูกำไรสุทธิไตรมาส 4/2565 ที่ 242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% ตามสินเชื่อที่ขยายตัว ขณะที่ประเมินไตรมาส 1/2566 คาดขยายตัว จากสินเชื่อ C4C ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจและอุตสาหกรรมในปี 2566 คาดว่าจะมีการขยายตัวที่ดีขึ้น หลักๆ เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวที่กลับมามีความคึกคักมากขึ้น ทำให้หลายๆ ธุรกิจโดยเฉพาะภาคบริการกลับมามีการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้น ความต้องการสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อธุรกิจและสินเชื่อเพื่อเป็นทุนดำเนินธุรกิจจึงมีแนวโน้มที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งบริษัทคาดว่าจะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย
*ขยายฐานลูกค้าใหม่
ทั้งนี้ การที่จากฐานลูกค้าของบริษัทมีการขยายตัว หลังบริษัทได้มีการทำตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทิศทางยอดขายและการปล่อยสินเชื่อในส่วนต่างๆ มีการขยายตัวที่ดีไปในแนวทางเดียวกัน ตลอดธุรกิจยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น ทำให้บริษัทคาดว่าการเติบโตของผลการดำเนินงานในปี 2566 จะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 50% ส่วนการลงทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาคาดว่าเร็วๆ นี้จะได้ข้อสรุป
ด้านการซื้อหุ้นคืนของ SINGER สูงสุดไม่เกิน 640 ล้านบาท เป็นจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนไม่เกิน 18 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 2.19% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดนั้น ได้เริ่มเริ่มต้นแล้วตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา และจะต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 23 มีนาคม 2566 เพื่อเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้แก่ส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อัตรากำไรสุทธิ (EPS) และเพิ่มมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (Book Value Per Share) สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
*สินเชื่อ C4C ยังโตดี
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ไตรมาส 4/2565 สินเชื่อ C4C ยังโตดี ขณะที่ยอดขายสินค้าลดลงจากความเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ทางฝ่ายประเมินกำไรสุทธิไตรมาส 4/2565 ที่ 242 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%YoY แต่ลดลง 7%QoQ จาก 1.สินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้น 46%YoY และเติบโต 6%QoQ ตามการขยายพอร์ตสินเชื่อ C4C ต่อเนื่อง
2.รายได้จากการขายสินค้าปรับตัวลง 20%YoY ลดลง 1%QoQ จากฐานที่สูง และไม่มีการขายสินค้า Clearance เหมือนไตรมาส 4/2564 และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันบริษัทมี Rejection Rate เพิ่มขึ้นจากเดิม 30%, 3.NPL ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 4.0% (ไตรมาส 4/64 และ 3/65 = 3.9%/3.7%) จากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และทำให้ความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ลดลง และทำให้ 4.Credit Cost เพิ่มขึ้นเป็น 3.3% (ไตรมาส 4/64 และ 3/65 = 2.0%/3.1%)
ทางฝ่ายปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลง 3% เป็น 1.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%YoY โดยเป็นผลของ 1.ปรับรายได้จากการขายลดลงเป็นเติบโต 2%YoY (เดิม +3%) จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อมากขึ้น ซึ่งปกติบริษัทจะขายสินค้าเป็นเงินเชื่อที่ 90-95% ของยอดขาย 2.เพิ่ม Cost to Income เป็น 30% (เดิม 29%) เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายในการติดตามหนี้ที่เพิ่มขึ้น และการเร่งเพิ่มสาขาจากปี 2564 ที่ขยายตัวได้ต่ำเป้า (ไตรมาส 4/65 คาดที่ 6.8 พันแห่ง จากเป้าที่ 7.0 พันแห่ง) และ3.เพิ่ม Credit Cost +32 bps จากการบริหารจัดการสินเชื่อเช่าซื้อให้มี NPL ลดลง
*ลุ้นดีลธุรกิจใหม่
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2566 คาดขยายตัว YoY แต่ทรงตัว QoQ โดยเพิ่มขึ้นจาก YoY จากสินเชื่อ C4C ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงจากการชำระคืนหุ้นกู้เมื่อกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิทรงตัวจาก QoQ จาก GPM ธุรกิจขายที่ลดลง จากการขายสินค้าที่ยึดมาเพิ่ม ทั้งนี้บริษัทได้มีการเร่งยึดสินค้าคืนในไตรมาส 4/2565 เพื่อบริหารจัดการ NPL สินเชื่อเช่าซื้อให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งคาดว่าบริษัทจะนำสินค้ายึดคืนกลับมาขายในไตรมาส 1/2566
อย่างไรก็ตาม ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 36.00 บาท จากเดิม 38.00 บาท อิง 2023E PER เดิมที่ 26x (3-yr Average PER) โดยเป็นผลจากการปรับลดกำไรสุทธิลง เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่จะขยายตัวต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ ประเมินว่าบริษัทยังมี Key Catalyst จากฐานทุนที่สูง ทั้งเงินเพิ่มทุน U City เมื่อปลายปี 2564 และเงินชำระคืนเงินกู้ยืมจาก SGC ซึ่งทางฝ่ายประเมินว่าบริษัทมโอกาสที่จะนำเงินทุนนี้ไปขยายตัวในธุรกิจอื่นๆ หรือที่เกี่ยวเนื่องในอนาคตได้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาดีลต่างๆ ที่สูงมากกว่า 2-3 ดีล