จับทิศลงทุนหุ้น "CKP" หลังประชุมนักวิเคราะห์

#ทันหุ้น - บล.หยวนต้า ออกบทวิเคราะห์ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP หลังวานนี้ (26 ส.ค.) ได้เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารและมีมุมมองเป็นบวกในระยะกลาง-ยาว โดยมีสาระสำคัญดังนี้
โรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 (NN2) ประกาศปริมาณการผลิตไฟฟ้าสำหรับช่วง Q3/67 ที่ 532GWh เพิ่มขึ้น 3% QoQ และ 20% YoY หลังได้แรงหนุนจากปริมาณน้ำในลาวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยผู้บริหารมองว่าปริมาณการผลิตไฟฟ้าของโครงการดังกล่าวมีโอกาสเร่งตัวขึ้นอีกในช่วง Q4/67 หลังปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนดังกล่าวยังมีแนวโน้มสูงขึ้น YoY ต่อเนื่อง
ปัจจุบันโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรี (XPCL) อยู่ระหว่างการหยุดดำเนินงานหลังอัตราการไหลผ่านของน้ำสูงเกินกว่าที่โครงการดังกล่าวจะสามารถรองรับได้ (บริษัทฯ คาดหยุดดำเนินการราว 10 วัน เทียบกับปีก่อนที่หยุดดำเนินการราว 2 วัน) อย่างไรก็ตามคาดประเด็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบจำกัดต่อแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วง Q3/67 เนื่องจากคาดอัตราการไหลผ่านของน้ำที่ฟื้นตัว YoY ตลอดทั้งไตรมาสจะสามารถชดเชยผลกระทบได้ (คาดปริมาณขายไฟฟ้าของโครงการดังกล่าวจะยังคงสามารถเติบโตได้ YoY)
ปัจจุบันน้ำในเขื่อน Xiaowan และ Nuozhadu ในจีนเริ่มฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับสูง โดยบริษัทฯ คาดการปล่อยน้ำของเขื่อนในจีนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้งในปี 2568 (ช่วงก่อนหน้าเขื่อนในจีนมีการปล่อยน้ำน้อยลงตามปริมาณน้ำฝนในจีนที่ลดลงจากการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ)
สำหรับช่วง Q2/67 หนี้สินของโครงการ XPCL มีหนี้สินระยะยาวอยู่ที่ 8.77 หมื่นล้านบาท (แบ่งออกเป็นหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว 82% และหนี้สินที่มีอัตราดอกเบี้ยคงตัว 18%) และมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 7.2% โดยบริษัทฯ คาดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของโครงการดังกล่าวจะเริ่มลดลงตั้งแต่ Q4/67 เป็นต้นไปหลังธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (หนุนการฟื้นตัวของส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ XPCL ในระยะยาว)
**ฝ่ายวิจัยมองบวกระยะกลาง-ยาว
เบื้องต้นคาดผลประกอบการในช่วง Q3/67 ที่ระดับ 1,000-1,200 ล้านบาท เติบโต QoQ และ YoY หลังได้แรงหนุนจากปัจจัยฤดูกาลของโครงการน้ำในลาวและปรากฏการณ์เอลนีโญที่คลี่คลาย หากมองไปช่วง Q4/67 คาดกำไรปกติจะลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่มีโอกาสเติบโตได้ YoY หากเกิดปรากฏการณ์ลานีญาในช่วง 2H67 (ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ฤดูมรสุมยาวนานกว่าปกติและทำให้ปริมาณน้ำโดยรวมสูงขึ้น)
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2567 ที่ 4.80 บาท/หุ้น