หมออุดมคาด ปลายเดือนโควิดแตะ 18,000 ราย ลุ้นไม่เกิน 2 หมื่น หวั่นป่วยหนักเยอะ

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.อุดม คชินทร ที่ปรึกษาศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อในขณะนี้ที่สูงขึ้นยังอยู่ในความคาดการณ์ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่เคยจัดทำเป็นกราฟ สีเขียว สีส้ม สีดำ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ระหว่างกำลังจะขึ้นไปแตะตรงกลางของสีส้มแล้ว ขณะนี้ติดประมาณ 15,000 คน คาดว่าปลายเดือนนี้น่าจะขึ้นไปถึง 17,000 – 18,000 คน และหวังว่าจะไม่ 20,000 คน
ดังนั้นขึ้นอยู่กับประชาชนทุกคนจะต้องช่วยกันแต่ก็ต้องบอกกันตรงว่าทุกคนอึดอัดมา 2 ปี ก็อยากผ่อนคลายและต้องการให้เรื่องเศรษฐกิจเดินไปได้ จึงคิดว่ามีปัจจัยที่จะเอื้อและดูแล้วก็พอไหว เพราะดูจากตัวเลขผู้เจ็บป่วยรุนแรงน้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ที่มีคนที่เป็นปอดอักเสบในช่วงนั้นประมาณ 5,000-6,000 คน แต่ตอนนี้เหลือ 500 คน คือลดลงไป 10 เท่า
ส่วนผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายในช่วงเวลานั้นก็ประมาณ 500-600 คน ตอนนี้เหลือประมาณ 110 คน ลดลงมาประมาณ 10 เท่า ตนคิดว่าเป็นข้อดีที่ไม่รุนแรงและอย่างน้อยเราสู้ไหวถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งขอยกประโยชน์ให้ 2 ประการคือ คนไทยมีวินัยเยอะมาก ขอชื่นชมและขอให้ช่วยกันระมัดระวังเพิ่มขึ้นเพราะไม่ต้องการให้ตัวเลขทะลุไปถึง 20,000 คน เพราะถ้าถึง 20,000 คน เมื่อไหร่ บุคคลากรทางการแพทย์จะเหนื่อยมากเพราะตอนนี้ก็เริ่มล้าแล้ว
นพ.อุดม กล่าวว่า เรื่องที่สองที่อยากจะย้ำคือเรื่องความสำคัญของวัคซีน ซึ่งทั่วโลกมีข้อมูลเหมือนกันว่าขณะนี้ให้เร่งฉีดเข็ม 3 เพราะวัคซีนตอนนี้เหลืออยู่แต่คนไปฉีดน้อย ซึ่งเข็ม 3 ช่วยป้องกันได้ จากเจ็บป่วยรุนแรง ซึ่งทุกยี่ห้อกันได้ 90 เปอร์เซ็นต์ เหมือนกันหมด จึงขอให้ช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ไปฉีดวัคซีน
“ผมไม่อยากให้ประชาชนตระหนกว่าตอนนี้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และได้บอกว่าจะต้องขึ้นไปอีกนิดหน่อยแต่ไม่อยากให้ทะลุ 20,000 คน ก็ต้องขอความร่วมมือจากทุกคน”
นพ.อุดม กล่าวว่า ตอนนี้ความเป็นห่วงคือไม่อยากให้ตัวเลขเยอะเกินไป เพราะถ้าตัวเลขเยอะมากสัดส่วนของผู้ป่วยหนักที่ตอนนี้น้อยกว่าเดิม 10 เท่า มันก็จะสูงขึ้นเป็นไปตามอัตราส่วน ซึ่งขณะนี้เราสูงไหว สบายๆกำลังด้านสาธารณสุขเราเพียงพอมีกำลัง ระบบทุกอย่าเซ็ตไว้ดีหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น HI หรือ CI หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาลตอนนี้เตียงเราเพียงพอเรามีระบบพร้อมเรามีบทเรียน ฉะนั้นตรงนี้ไม่ต้องกังวล
นพ.อุดม กล่าวว่า ตอนนี้เราผ่อนปรนมาตรการมากขึ้น ไม่มีการเพิ่มมาตรการใด ตนเองยังกลัวว่าประชาชนจะไม่เข้าใจว่าตัวเลขขึ้นแต่ทำไมรัฐบาลมาผ่อน แต่อย่างน้อยมาตรการยังอยู่เท่าเดิมจึงอยากให้ประชาชนมีความเข้าใจตรงนี้เพราะไม่เช่นนั้นรัฐบาลก็ไม่ไหว และต้องยอมรับว่าเราใช้งบประมาณไปเยอะมากรัฐบาลทุ่มเงินให้ฟรีหมด ไม่มีประเทศไหนให้ฟรีมากเท่าประเทศเรา ตนคิดว่าตอนนี้เราต้องมาช่วยกันฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจเดินไปได้ เราต้องเตรียมใจเปลี่ยนผ่านจากโรคระบาดทั่วโลกให้เป็นโรคประจำถิ่นให้ได้ ขณะเดียวกันยังต้องดูข้อมูลไปเรื่อยๆ ขอความร่วมมือช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจ เราจะไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าจะใช้เวลาเตรียมตัว ตนยังบอกกับสธ.ว่าอีก 1-2 เดือน เราอาจจะต้องประกาศเช่นเดียวกับประเทศสวีเดนเหมือนกันที่เขาได้ประกาศว่าตอนนี้จะยกเลิกการให้งบประมาณอุดหนุนทุกอย่าง โดยเหตุผลหลักคือไม่มีเงิน แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องเตรียมประชาชนให้ดี เพราะปัจจัยสำคัญอยู่ที่ประชาชน ปัจจัยไม่ได้อยู่กับด้านสาธารณสุขแล้วเพราะสาธารณสุขเราเพียงพอไม่มีปัญหา ดังนั้นต้องปรับไปตามบริบทโลก
นพ.อุดม กล่าวว่า ขอฝากเรื่องวัคซีนเด็กซึ่งขณะนี้ฉีดได้จำนวนน้อยมาก และผู้ปกครองมีความกังวลมากเหลือเกิน ซึ่งทางสธ.ได้ประกาศไปแล้วว่าขอให้มาฉีดไฟเซอร์ซึ่งเป็นไปตาม มาตรฐานที่ยังฉีดได้น้อยคงเพราะผู้ปกครองมีความกังวลว่าจะเป็นผลอย่างไรบ้าง เนื่องจากเป็นเชื้อ mRNA ซึ่งขณะนี้เรามีทางเลือกเพิ่มขึ้นคือวัคซีนเชื้อตาย ได้แก่ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม
“แต่ก็ยังมีคนไปฉีดน้อยเพราะอาจมีความกังวลว่ามีประสิทธิภาพพอหรือไม่ ตนคิดว่าตอนนี้เราต้องใช้สูตรนี้ไปก่อนหากคนยังกังวลไฟเซอร์ ขอผู้ปกครองกรุณาให้ลูกมาฉีดซิโนแวค ซิโนฟาร์ม อย่างน้อยเราก็รู้ว่าผลข้างเคียงมีน้อยมากถึงแม้ว่าประสิทธิภาพอาจจะสู้ไม่ได้แต่เมื่อไปถึงเข็ม 2 เข็ม 3 แล้วก็จะมาสู้ได้ โดยตอนนี้กำลังจะปรับเป็นสูตรไขว้ โดนสธ.ได้ประกาศแล้วว่าฉีดในเด็ก 12 ปีขึ้นไปก่อน แต่เด็กอายุต่ำกว่านั้นยังไม่ไขว้และในอนาคตก็คงต้องไขว้เพราะต้องการให้ภูมิขึ้นเร็ว โดนเริ่มเข็ม 1 ซิโนแวค เข็ม 2 ไฟเซอร์ ภูมิจะขึ้นเร็วไม่ต้องรอนาน”
นพ.อุดม กล่าวว่า ส่วนที่ขณะนี้ผู้ปกครองกังวลเรื่องไฟเซอร์วัคซีนหลักในเด็กถึงเรื่องกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบนั้น ขอยืนยันตามที่มีข้อมูลล่าสุดที่เก็บมาจากทั่วโลกคือเกิดขึ้นจริงแต่เกิดน้อย กลุ่มที่เกิดเยอะที่สุดคือเด็กโต 16-18 ปี ในเด็กผู้ชายมากกว่าในเด็กผู้หญิง เกิดประมาณ 70 ต่อ 1 ล้าน เด็กผู้หญิง 16-18 ปีเกิดประมาณ 7 ต่อ 1 ล้าน พออายุต่ำลงมาประมาณอายุ 15-17 ปีเกิดประมาณ 4-5 ต่อ 1 ล้าน ขอให้ไปช่วยกันฉีด เพราะขณะนี้มักจะระบาดในเด็กเพราะในเด็กจะกระจายไปในหลายอวัยวะมากกว่าผู้ที่กระจายไปที่ปอดอย่างเดียว ดังนั้นขอให้ไปฉีดเพราะผลดีจะมากกว่าผลเสียแน่นอน ขออย่ากังวล