เสี่ยขจร ยังไว้ใจ‘มาโน’คุมทัพแข้งเทพ - ชี้ต้องมีแชมป์ติดมือได้แล้ว
เสี่ยขจร เจียรวนนท์ นายใหญ่ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด เผยลดเงินนักเตะแค่ 30% ช่วงโควิด ชี้ยังเชื่อมั่นแนวทางของมาโน โพลกิ้ง กุนซือใหญ่ แต่ย้ำถึงเวลาต้องได้แชมป์
เสี่ยขจร - หลังจากที่ศึกลูกหนังไทยลีก ต้องเบรกการแข่งขันตั้งแต่ช่วงเดือนมี.ค. เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมีคิวจะกลับมาเตะในเดือนก.ย. นี้ หากสถานการณ์ดีขึ้นและได้รับอนุญาตจากทางรัฐบาล
โดยในส่วนความเคลื่อนไหวของสโมสรอย่าง ขจร เจียรวนนท์ ประธานสโมสร “แข้งเทพ” ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ได้กล่าวถึงการบริหารทีมว่า ตั้งแต่มีโควิด-19 เข้ามา ทุกฝ่ายได้รับผลกระทบจากรายได้หดหาย ซึ่งสโมสรในไทยลีกได้มีการประชุมกับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และได้ให้แนวทางลดค่าจ้างนักเตะ 50 เปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อบังคับ สำหรับแบงค็อก มีการตกลงกันว่าลดค่าเหนื่อยอยู่ที่ 30 เปอร์เซ็นต์ เพราะพยายามจะให้กระทบน้อยที่สุด ขณะที่การฝึกซ้อมมีโปรแกรมให้รักษาความฟิต พร้อมทั้งมีการตรวจเช็กนักเตะซ้อมจริงหรือไม่
เมื่อถามถึงการที่ยังให้ มาโน โพลกิ้ง กุนซือใหญ่ของทีม ทำงานต่อไปในฤดูกาลนี้ ทั้งที่ไม่เคยพาทีมประสบความสำเร็จคว้าแชมป์รายการใดๆ เลย บิ๊กขจร กล่าวว่า “ฤดูกาลที่มาแล้วเราเจอปัญหานักเตะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่หลายคน รวมถึงมีอาการบาดเจ็บต่างๆ ซึ่งต่อให้ได้โค้ชดีแค่ไหน แต่เจอปัญหาเหล่านี้ไป ไม่มีทางชนะแน่นอน ขณะเดียวกันเราเจอการกดดันหลายด้านที่จะให้เอา มาโน ออกจากตำแหน่ง กระทั่งผมต้องออกจดหมายว่าถ้าจบฤดูกาลไม่มีแชมป์ โค้ชจะพิจารณาตัวเอง อย่างไรก็ตาม เราได้นำสถิติมาศึกษาว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ได้ข้อสรุปว่าสไตล์เรามาถูกทางแล้ว ไม่ใช่ความผิดนักเตะ หรือทั้งของมาโน เพียงแต่ว่าเราจะป้องกันอาการบาดเจ็บไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้อย่างไร ซึ่งปีนี้โควิด-19 มีความน่ากลัวมากกว่าเดิมอีก”
“จริงๆ ผมแล้วมั่นใจในตัว มาโน และตัวนักเตะ เพราะฉะนั้นเลยไม่ได้บังคับว่าปีนี้เขาต้องได้แชมป์หรือไม่ได้แชมป์ เขารู้หน้าที่อยู่แล้วว่าต้องทำให้ได้ เขามีนิสัยที่อยากชนะ ซึ่งผมพอใจในส่วนนี้ และสไตล์การเล่นเขาถูกต้อง แต่ถ้าไม่ได้แชมป์หรือถ้วยรางวัลขึ้นมา เราต้องมาศึกษากันว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าทุกอย่างพร้อมหมด แล้วยังไม่ได้ มาโน คงเดือดร้อนแล้ว”
ประธานแข้งเทพ กล่าวอีกว่า สำหรับไทยลีกที่จะกลับมาเตะในเดือก.ย. ส่วนตัวไม่ได้ติดใจว่าเริ่มช้าไปหรือไม่ แต่ไม่มั่นใจว่าจะเล่นกันได้หรือเปล่า เพราะไม่รู้ว่าการระบาดของไวรัสระลอก 2 จะมาหรือเปล่า เพราะสังเกตว่าบางที่ไม่ค่อยรักษาระยะห่างทางสังคมกันเท่าไหร่ ถ้าหากไวรัสมาแบบระลอก 2 เหมือนสิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น ไม่รู้ว่าธุรกิจฟุตบอลจะไหวหรือไม่