เป้า "ราคาทอง" พุ่ง 5-15% ปีหน้า แนวรับสำคัญ 4,465 ถ้าหลุดปรับฐาน

ทองโลกกลับตัวเป็นขาขึ้น จากการที่ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 สู่ระดับ 97.90 หน่วย จาก 98.66 หน่วย อีกทั้งบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปียังคงทรงตัวที่ระดับ 4.16% ในขณะที่สภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า การใช้จ่ายทางการคลังที่เพิ่มขึ้น, อุปสงค์จากธนาคารกลาง

อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง อาจช่วยหนุนราคาให้พุ่งขึ้นได้อีก 5%-15% ในปี 2026 โดยนายโจ คาวาโทนี (Joe Cavatoni) นักยุทธศาสตร์การตลาดอาวุโสจากสภาทองคำโลก ได้กล่าวถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ชะลอตัวลงและอัตราดอกเบี้ยยังคงลดลง จะส่งผลให้ทองคำอาจเห็นการปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาด CME FedWatch ได้ปรับคาดการณ์ขึ้นเป็น 86.7% จาก 80.1% ว่าเฟดจะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 3.50-3.75% ในเดือนม.ค. ในขณะที่สหรัฐฯ เผยดัชนี GDP ไตรมาส 3 ประมาณการครั้งที่ 2 มากกว่า

ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ / ครั้งก่อน นอกจากนี้ นายไมค์ แมคโกลน (Mike McGlone) นักยุทธศาสตร์จาก Bloomberg Intelligence ได้กล่าวว่า ราคาทองคำสามารถลงมาที่ 3,500 ดอลลาร์ได้ โดยอ้างอิงถึง

ราคาทองคำพุ่งทะยานในปี 1979 และทำราคาสูงสุดในปี 1980 หลังจากนั้นราคากลับดิ่งลงมากกว่า 50% ภายในปี 1982 ทางด้านกองทุน SPDR ถือครองเท่าเดิมรวมสุทธิ 1,064.56 ตัน

ราคาทองโลกยังสามารถยืนเหนือแนวรับที่ 4,485 ดอลลาร์ จึงประเมินว่า หากทองโลกยังสามารถยืนเหนือแนวรับดังกล่าว มีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 4,555 ดอลลาร์ ในภายหลัง แต่หากทองโลกหลุดแนวรับถัดไปที่ 4,465 ดอลลาร์ ทองโลกอาจเข้าสู่การปรับฐานลงระยะสั้น

แนะนำการลงทุน ทองโลกอยู่ในระยะขาขึ้น จึงแนะนำใช้กลยุทธ์ทยอยขายตามแนวต้านที่ระดับ 4,555 ดอลลาร์ และซื้อสะสมหากราคาลงทดสอบแนวรับที่ 4,485 ดอลลาร์ แต่หากราคาหลุดแนวรับที่ 4,465 ดอลลาร์ ลงไป แนะนำขายตัดขาดทุน

ราคาทองคำแท่ง 96.5%

แนวรับ:

แนวต้าน:

66,800 และ 67,000 บาท

66,150 และ 66,050 บาท

แนะนำการลงทุน ราคาทองในประเทศมีการปรับตัวขึ้นตามทองโลก ในขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่า

จึงแนะนำทยอยขายตามแนวต้านที่ระดับ 66,800 และทยอยซื้อตามแนวรับที่ 66,150 บาท แต่หากราคาหลุดแนวรับที่ 66,050 บาท ลงไป แนะนำขายตัดขาดทุน