โลกร้อนบีบ “ป่าแอมะซอน” เข้าสู่สภาวะร้อนจัด เสี่ยงแล้งนาน 150 วันต่อปี

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อช่วงสัปดาห์ทีผ่านมาระบุว่า ป่าฝน “แอมะซอน”กำลังถูกผลัดดันเข้าสู่สภาพภูมิอากาศที่ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกมาก่อนอย่างน้อย 10 ล้านปี หากยังไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างจริงจัง ภายในปี 2100 ป่าแอมะซอนอาจเจอกับภัยแล้งที่ยาวนานมากถึง 150 วันต่อปี แม้กระทั่งช่วงฤดูฝนที่ระบบนิเวศมีความสมบูรณ์มากที่สุดก็ตาม
ป่าแอมะซอนกำลังวิกฤต
สถานการณ์ของป่าแอมะซอนกำลังน่าเป็นห่วง เจฟฟ์ แชมเบอร์สวิจัยและศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้วิเคราะห์พื้นที่ทางตอนกลางของบราซิลมานาน 30 ปี โดยใช้ข้อมูลอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ ความชื้นในดิน และความเข้มจากแสง และติดตั้งเซนเซอร์บริเวณลำต้นของต้นไม้เพื่อสังเกตการตอบสนองต่อความร้อนที่เพิ่มขึ้น พบว่า เมื่อความชื้นในดินลดลง 1 ใน 3 ของระดับปกติ ต้นไม้จะปิดปากใยเพื่อรักษาน้ำในลำต้น ทำให้ไม่สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งจำเป็นต่อการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของพืชได้ และเมื่อความร้อนยืดเยื้อยาวนานขึ้น การลำเลียงน้ำในลำต้นจะถูกขัดขวางโดยฟองน้ำ ซึ่งนักวิจัยเปรียบเทียบกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันในคน ซึ่งต้นไม่ที่มีเนื้อไม้หนาแน่นต่ำมีความเปราะบางมากกว่าต้นไม้ที่มีเนื้อไม้หนาแน่นสูง
สภาพอากาศแบบ “ไฮเปอร์ทรอปิคอล” คืออะไร?
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน กำลังผลักดันให้ป่าแอมะซอนซึ่งเป็นป่าดิบชื้นเปลี่ยนผ่านสู่สภาพภูมิอากาศแบบ “ไฮเปอร์ทรอปิคอล” ภายในปี 2100 ซึ่งมีสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง มีความผันผวนสูงจนต้นไม้จำนวนมากอาจไม่สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกมาก่อนอย่างน้อย 10 ล้านปี
ปัจจุบันอัตราการตายของต้นไม้ในแอมะซอนอยู่ที่ 1% ต่อปี แต่ภายในปี 2100 อัตราการตายของต้นไม้อาจเพิ่มขึ้นเป็น 1.55% แม้จะเป็นเพียงแค่ตัวเลขเล็กน้อย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของป่าแอมะซอนซึ่งเป็นป่าฝนเขตร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็อาจหมายถึงจำนวนต้นไม้มหาศาลที่ล้มตายลงทุกปี
จาก “ดูดซับคาร์บอน” กลับกลายเป็น “ปล่อยคาร์บอน”
เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มสูงขึ้น ป่าฝนแอมะซอนถูกเร่งจากภาวะโลกร้อนจนความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนลดลง และนำไปสู่การปล่อยคาร์บอนมากกว่ากักเก็บ นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ป่าแอมะซอนถูกคุกคามจากไฟป่า ความร้อน และความแห้งแล้ง จนสร้างความตึงเครียดให้กับระบบนิเวศ ผลกระทบนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ป่าแอมะซอนเท่านั้น แต่ป่าฝนเขตร้อนอีกหลายแห่งซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการดูดซับคาร์บอนของโลก หากป่าอ่อนแอลง ความสามารถในการชะลอความรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนก็จะลดลงตามไปด้วย
หากโลกยังคงเดินหน้าปล่อยก๊าซโดยไร้การควบคุม ป่าฝนที่เคยเป็นเกราะป้องกันโลกร้อน อาจกลายเป็นเหยื่อของวิกฤตสภาพภูมิอากาศและผลักดันให้ป่าหลายแห่งบนโลกเข้าสู่สภาพอากาศแบบร้อนจัดเร็วขึ้นกว่าเดิม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
