“เอกนิติ”มั่นใจจีดีพีปีนี้โตเกิน 2% เชื่อเศรษฐกิจไทยไปต่อได้

“เอกนิติ”มั่นใจจีดีพีปีนี้โตเกิน 2% เชื่อเศรษฐกิจไทยไปต่อได้
#ทันหุ้น “เอกนิติ”มั่นใจจีดีพีปีนี้โตเกิน 2% เชื่อเศรษฐกิจไทยไปต่อได้ เร่งหารือกฤษฎีกา”คนละครึ่งพลัสเฟสสอง”เดินหน้าได้หรือไม่ หลังโครงการทำดัชนีเชื่อมั่นพุ่ง ขณะที่ บีโอไอพร้อมอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนรวม 6.3 แสนล้านบาทต่อเนื่อง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเมินว่า เศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ในไตรมาสที่สี่จะสามารถขยายตัวได้เกินกว่า 1% จากที่คาดการณ์ว่า จะขยายตัวได้เพียง 0.3% ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคและภาคเอกชนเกิดความเชื่อมั่น สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นมาติดต่อกัน 2 เดือน ทำให้ประเมินว่า ในปีนี้จีดีพีของไทยจะขยายตัวได้เกินกว่า 2% และจะเป็นแรงส่งไปยังเศรษฐกิจในปีหน้า
“ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง มั่นใจว่า มาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วจะช่วยวางรากฐาน ให้เศรษฐกิจไทยสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ แม้จะมีการยุบสภาเกิดขึ้น โครงการสำคัญ ได้แก่ การกระตุ้นการบริโภคผ่านโครงการ คนละครึ่ง การช่วยเหลือและฟื้นฟู หนี้ครัวเรือน รวมถึงการให้สินเชื่อและสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ SMEs เชื่อว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยให้จีดีพีไตรมาสสี่เติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1% ทั้งปีโตเกิน 2%”
เขาย้ำว่า นโยบายเศรษฐกิจที่ถูกออกแบบมานั้น ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่ผลในระยะสั้น แต่ยังเน้นผลลัพธ์ในระยะยาว (Quick Big Win) ด้วย โดยโครงการ "คนละครึ่งพลัส" ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระจายตัวเงินไปทั่วประเทศ สร้างความคึกคักให้กับธุรกิจรายย่อยตามตลาดและร้านค้า ซึ่งเงินกว่า 70,000 ล้านบาทในโครงการนี้พิสูจน์ได้ว่ากระจายตัวไปยังร้านค้ารายย่อยโดยเฉพาะ ไม่ได้ให้กับรายใหญ่
นอกจากนี้ ทีมเศรษฐกิจยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มทักษะ (Skill) ให้กับผู้ค้ารายย่อยและคนตัวเล็กตัวน้อย ให้สามารถขายของออนไลน์ได้ ซึ่งวันนี้พบว่ายอดขายของพวกเขาเพิ่มขึ้นถึง 500-600% และยังสอนทักษะทางการเงิน ควบคู่ไปกับการชุบชีวิตคนที่เป็นหนี้ โดยเฉพาะโครงการลดหนี้ครัวเรือนที่ทำร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมธนาคารไทย
สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มีการเตรียมเม็ดเงินช่วยเหลือรวมประมาณ 320,000 ล้านบาท โดยบางส่วนได้ดำเนินการไปแล้ว เช่น กระทรวงการคลังได้คืนภาษีให้กับ SME ไปแล้ว 60,000 ล้านบาท ภายในเดือนธันวาคมนี้อย่างแน่นอน และยังมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำรวมถึงการค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)อีกประมาณ 267,000 ล้านบาท ซึ่งจะต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
ด้านการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โครงการชุบชีวิตคนที่เป็นหนี้ยังทำต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับการอนุมัติไปแล้ว ในเฟสแรกจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมนี้ โดยมีลูกหนี้ที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งโครงการนี้สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และ Non-bank ที่มีรูปแบบคล้ายธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐรวม 2 ล้านราย คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 66,000 หมื่นล้านบาท
เขากล่าวด้วยว่า เพื่อสร้างเสาหลักของการลงทุนเพื่ออนาคต รัฐบาลได้มีการอนุมัติโครงการแก้ไขปัญหาเพื่อปลดล็อกการลงทุนมูลค่า 470,000 ล้านบาท โดยใช้โครงการ Fast Pass ซึ่งเป็นโครงการเก่าที่พร้อมลงทุนแล้ว และเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้จะเริ่มไหลออกมาตั้งแต่ปลายปีนี้ไปจนถึงปีหน้าและปีต่อ ๆ ไป นอกจากนี้ ยังได้มีการอนุมัติโครงการใหม่เพิ่มอีก 16 โครงการ มูลค่ากว่า 160,000 ล้านบาท ก่อนการยุบสภาเล็กน้อย รวมเม็ดเงิน 630,000 ล้านบาท มั่นใจว่าจะทำได้อย่างต่อเนื่อง
ในด้านการออม ได้มีการดำเนินการออกพันธบัตรให้ผู้สูงอายุสามารถซื้อได้ทุกเดือน ซึ่งจะเริ่มขายได้ตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ รวมถึงการปรับปรุงให้สามารถซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญได้ดียิ่งขึ้น และอนุญาตให้ประกันชีวิตสามารถนำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้
“สิ่งที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นอย่างยิ่งคือการที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่างเช่น S&P ไม่ได้ปรับลดแนวโน้ม (Outlook) ของไทยเหมือนกับ Rating Agency อื่น ๆ ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศมีวินัยทางการคลังมากขึ้น มีการปรับปรุงกระบวนการทำงาน มีแผนระยะปานกลางที่ชัดเจน และการใช้นโยบายกึ่งการคลังที่เข้มงวดมากขึ้น วันนี้ S&P มองประเทศไทยเป็น "stable outlook" ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่จะมีการปรับลดเรทติ้งที่อาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจได้”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
