“ญี่ปุ่น” ตัดสินใจครั้งใหญ่ จ่อเปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่สุดในโลก หลังปิดไปนานกว่า 15 ปี!

ทางการญี่ปุ่นอนุมัติให้เดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คาชิวาซากิ–คาริวะ ซึ่งถือเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกครั้ง หลังถูกปิดใช้งานมานานกว่าทศวรรษ นับตั้งแต่เกิดเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2554 ที่นำไปสู่วิกฤตนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ซึ่งเป็นภัยพิบัตินิวเคลียร์ร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่เชอร์โนบิลในปี พ.ศ. 2529
สภาจังหวัดนีงาตะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าดังกล่าว มีมติอนุมัติร่างกฎหมายเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เปิดทางให้บริษัท โตเกียว อิเล็กทริก พาวเวอร์ คอมปานี (TEPCO) เดินเครื่องเตาปฏิกรณ์หมายเลข 6 จากทั้งหมด 7 เตา โดยคาดว่าจะเริ่มกลับมาเดินเครื่องได้ราววันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2569 ตามรายงานของสถานีโทรทัศน์ NHK
ญี่ปุ่นใช้ท่าทีที่ระมัดระวังเป็นอย่างมากต่อพลังงานนิวเคลียร์นับตั้งแต่เหตุแผ่นดินไหวขนาด 9.0 และคลื่นสึนามิเมื่อปี พ.ศ. 2554 ซึ่งทำให้เกิดการหลอมละลายของแกนเตาปฏิกรณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ไดอิจิ ส่งผลให้รัฐบาลสั่งปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมด 54 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงคาชิวาซากิ–คาริวะ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดนีงาตะ ห่างจากกรุงโตเกียวราว 320 กิโลเมตร
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นได้กลับมาเดินเครื่องเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์แล้ว 14 เตา จากทั้งหมด 33 เตาที่สามารถใช้งานได้ โดยคาชิวาซากิ–คาริวะ จะเป็นโรงไฟฟ้าแห่งแรกที่กลับมาเปิดดำเนินการภายใต้การบริหารของ TEPCO ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ดูแลโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะ ไดอิจิ
โฆษกของ TEPCO ระบุว่า บริษัทให้คำมั่นว่าจะไม่ให้เกิดอุบัติเหตุนิวเคลียร์ซ้ำอีก และจะดูแลความปลอดภัยของประชาชนในจังหวัดนีงาตะอย่างเข้มงวดที่สุด
ก่อนเกิดเหตุวิกฤตนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เคยผลิตไฟฟ้าให้ญี่ปุ่นราวร้อยละ 30 ของความต้องการทั้งหมด แต่หลังจากนั้น ญี่ปุ่นต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานฟอสซิล เช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 60–70 ส่งผลให้มีต้นทุนด้านพลังงานเพิ่มขึ้นกว่า 10.7 ล้านล้านเยนในปีที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรี ซาเนะ ทาคาอิจิ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 2 เดือนก่อน สนับสนุนการฟื้นฟูอุตสาหกรรมนิวเคลียร์อย่างชัดเจน เพื่อช่วยลดต้นทุนพลังงาน แก้ปัญหาเงินเฟ้อ และกระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซา
แม้ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเป็นอันดับ 5 ของโลก แต่รัฐบาลตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และมีแผนเพิ่มสัดส่วนพลังงานนิวเคลียร์เป็นร้อยละ 20 ของระบบไฟฟ้าภายในปี พ.ศ. 2583 เพื่อรองรับความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์
อย่างไรก็ตาม ความทรงจำจากเหตุฟุกุชิมะยังคงฝังใจประชาชนจำนวนมาก โดยผลสำรวจในจังหวัดนีงาตะพบว่า ร้อยละ 60 ของประชาชนเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมในการกลับมาเดินเครื่องโรงไฟฟ้า และเกือบร้อยละ 70 ยังคงกังวลต่อความปลอดภัยภายใต้การบริหารของ TEPCO
TEPCO ระบุว่า โรงไฟฟ้าแห่งนี้ผ่านการตรวจสอบและปรับปรุงระบบความปลอดภัยหลายด้าน ทั้งการสร้างกำแพงกันสึนามิ ระบบกรองสารกัมมันตรังสีที่ทันสมัย เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรอง และการเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินเพิ่มเติม พร้อมยืนยันว่าได้ถอดบทเรียนจากโศกนาฏกรรมฟุกุชิมะอย่างเคร่งครัด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
