รีเซต

ภาษีทรัมป์ ทำรถแพงขึ้น 2 แสนบาท ค่ายรถป่วนทั้งโลก คนซื้อรับกรรม

ภาษีทรัมป์ ทำรถแพงขึ้น 2 แสนบาท ค่ายรถป่วนทั้งโลก  คนซื้อรับกรรม
TNN ช่อง16
8 เมษายน 2568 ( 08:00 )
33

ราคารถยนต์ในอเมริกา จะแพงขึ้น 

เฉลี่ยประมาณ  2 แสนบาทต่อคัน 

ผลจากมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ

ที่ประกาศรีดภาษีนำเข้ารถยนต์ทุกคันจากทุกชาติ เพิ่มเป็น 25  %

ขณะที่เทสลา  ของอีลอน มัสก์ ลูกรักของทรัมป์กระทบน้อยสุด


ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารในวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา 

เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ในอัตรา 25  %  และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน 2568

ก่อนจะเริ่มดำเนินการเก็บภาษีในวันที่ 3 เมษายน

การตัดสินใจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายาม

ในการฟื้นฟูการผลิตภายในประเทศ

และดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมเข้ามาในสหรัฐอเมริกา

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์


สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ เชื่อว่า 

มาตรการภาษีศุลกากรจะทำให้บริษัทรถยนต์ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ มากขึ้น 

ซึ่งจะสร้างรายได้ใหม่ให้กับรัฐบาล และช่วยลดหนี้สาธารณะของประเทศ

ซึ่งทรัมป์มักจะพูดย้ำอยู่เสมอว่า สหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบ

โดยประเทศพันธมิตรและคู่แข่งมาเป็นเวลาหลายปี


สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “มาตรการภาษีนำเข้ารถที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐ”  

ในอัตรา 25% ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 

คาดว่าจะทำให้ต้นทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มสูงขึ้น 

ราคารถยนต์อาจเพิ่มขึ้นหลายพันดอลลาร์ 

โดยผลกระทบจะชัดเจนเป็นพิเศษใน “ตลาดรถราคาถูก” ที่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท 

จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง General Motors, Ford, Kia และ Hyundai 

ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตนอกสหรัฐ 


มุมมองจากนักวิเคราะรายหนึ่ง "เอริน คีทิง" ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์อาวุโสจากบริษัทวิจัย Cox Automotive 

มองว่ามาตรการภาษีของทรัมป์สร้างความยากลำบากให้กับคนที่จะซื้อในกลุ่มตลาดรถราคาถูก 

เพราะราคาจะไม่ถูกอีกต่อไป เนื่องจากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า

ราคารถจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมาตรการจูงใจต่างๆ เช่น พวกโปรโมชั่นก็จะหายไป 

หนักสุด อาจจะทำให้รถบางรุ่นต้องเลิกผลิตไปเลยก็เป็นไปได้เช่นกัน 


ตามข้อมูลจาก Cox  Automotive มีรถยนต์มากถึง 20 รุ่นในตลาดสหรัฐ

ที่มีราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท และอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของรุ่นเหล่านี้

จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการขึ้นภาษี

โดยรถยนต์ที่ประกอบในแคนาดาหรือเม็กซิโก 

คาดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 2 แสนบาท 

และอ้างอิงตามรายงานการวิจัยล่าสุด 

มีความเป็นไปได้สูงหรือสุ่มเสี่ยงว่า

ต้นทุน 2 แสนที่ว่านี้จะถูกโยนไปให้กับผู้บริโภค หรือคนที่จะซื้อรถ

หรือพูดง่ายๆรถที่ขายในสหรัฐ จะแพงขึ้นเฉลี่ยถึง 2 แสนบาทต่อคัน


ขณะที่นักวิเคราะห์อีกคน ไรอัน บริงค์แมน นักวิเคราะห์จากธนาคาร JPMorgan 

กล่าวในบทวิจัยด้านภาษีรถว่า สำหรับราคารถในสหรัฐโดยรวม 

อาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11.4% หากภาษีทั้งหมดถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภค 


อย่างไรก็ตามการขึ้นภาษีรถยนต์ของทรัมป์ในครั้งนี้ต่างก็ทำให้ค่ายรถได้รับผลกระทบอย่างหนัก

แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับ "เทสลา" ของ "อีลอน มัสก์" ผู้เป็นมือขวาลูกรัก ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ 


ภาษีนำเข้ารถยนต์ของทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อรถหลายรุ่น

ที่ยังมีการนำเข้าจากต่างประเทศเพราะประหยัดต้นทุนได้

จากค่าแรงและห่วงโซ่อุปทาน 

แต่หากต้องกลับมาเริ่้มต้นผลิตในประเทศ

ก็จะทำให้ข้อได้เปรียบเหล่านี้หายไปทันที 

อย่างไรก็ตามหากเป็นรถที่มีการผลิตในสหรัฐเป็นหลักอยู่แล้วก็คงไม่กระทบอะไร

นั่นก็คือ "เทสลา" 


จากบทวิเคราะห์ของ บลูมเบิร์ก เผยว่า 

เทสลามีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างชัดเจนด้วยโรงงานขนาดใหญ่ในแคลิฟอร์เนียและเท็กซัส

 ซึ่งผลิตรถยนต์ทั้งหมดที่จำหน่ายในตลาดอเมริกัน 

ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากภาษีนำเข้า 25  %

ตามการวิเคราะห์ของ CFRA Research ที่ระบุว่าเทสลาเป็นบริษัทที่ "ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด" จากมาตรการภาษีใหม่


ขณะที่เทสลาเองก็รู้จุดแข็งและจุดขายสำคัญนี้ แ

และพยายามประชาสัมพันธ์ความเป็นอเมริกันในแบรนด์ของตัวเองทันที 

ผ่านการโพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ระบุว่าโมเดลของพวกเขา

 "เป็นรถยนต์ที่ผลิตในอเมริกามากที่สุด" 


อย่างไรก็ตามในมุมของค่ายรถที่ผลิตในสหรัฐหลายอื่นก็น่าสนใจ เพราะแม้จะผลิตในสหรัฐ

แต่ก็ยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เช่น 

ฟอร์ด มอเตอร์ เป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าคู่แข่งหลายราย 

เนื่องจากรถยนต์ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ประมาณ 80  % ผลิตภายในอเมริกา

แต่ยังมีรุ่นสำคัญๆหลายรุ่นที่ผลิตในเม็กซิโก เช่น กลุ่มของรถกระบะขนาดเล็ก

 และรถไฟฟ้า ที่ไม่รอดจากผลกระทบของภาษีใหม่นี้


ส่วน อีกค่าย "เจนเนอรัล มอเตอร์ส" GM  ต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนัก

 แม้จะเป็นผู้ผลิตในประเทศ  แต่ก็นำเข้ารถกระบะบางรุ่นจากโรงงานในเม็กซิโกและแคนาดา 

รวมถึงนำเข้ารถ SUV ขนาดเล็กและรถครอสโอเวอร์ จากเกาหลีใต้


เช่นเดียวกับ สเตลแลนติส ก็ยังผลิตรถทั้งในเม็กซิโก และนำเข้ารถจากแคนาดาไปจนถึงอิตาลี   


นโยบายนี้ชัดเจนให้สหรัฐต้องมาก่อน

ค่ายรถต่างชาติจึงต้องมาทีหลัง และรับแรงกระแทกเต็มๆ 

ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป 


ข้อมูลจาก Global Data เปิดเผยว่า บริษัทรถยนต์ต่างชาติ

ที่มีตลาดหลักคือการส่งออก จะต้องเผชิญแรงกดดันมากที่สุด

โดยเฉพาะฮุนไดมอเตอร์จากเกาหลีใต้ ถึงแม้ว่าบริษัทและบริษัทในเครือคือ “เกีย” 

จะมีโรงงานในรัฐแอละแบมาและจอร์เจีย และเพิ่งประกาศแผนขยายการลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์นี้

แต่บริษัทยังนำเข้ารถยนต์มากกว่า 1 ล้านคันมาจำหน่ายในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว 

คิดเป็นกว่าครึ่งของยอดขายทั้งหมดในประเทศ


 นักวิเคราะห์จาก SK Securities Co. ในกรุงโซล 

คาดการณ์ว่าฮุนไดและเกียอาจต้องจ่ายภาษีให้สหรัฐฯ สูงถึง 10 ล้านล้านวอน (7 พันล้านดอลลาร์) ต่อปี

หากภาษี 25% มีผลบังคับใช้ 

ซึ่งคิดเป็นเกือบ 40% ของกำไรจากการดำเนินงานทั้งหมดที่ทั้งสองบริษัททำได้ในปี2024


ขณะที่โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป. ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก 

แม้จะมีโรงงานในสหรัฐ ทั้งโรงงานประกอบรถยนต์และผลิตเครื่องยนต์หลายแห่งกระจายอยู่ในรัฐต่างๆ

แต่ก็ยังต้องนำเข้ารถยนต์ประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายในสหรัฐฯ 


ส่วนกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์จากยุโรป เช่น โฟล์คสวาเกน เอจี จากเยอรมนี 

ก็จะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรุ่นที่นำเข้าจากโรงงานนอกสหรัฐฯ


แม้ว่าราคารถยนต์จะแพงขึ้นในสหรัฐ และอาจจะทำให้ชาวอเมริกันเดือดร้อน 

แต่ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐก็ยังออกมาบอกและย้ำด้วยว่ายิ่งแพงยิ่งดี 

เพราะคนจะหันกลับมาซื้อรถ 'เมดอินอเมริกา' มากขึ้น 

ย้ำว่าเป็นเพียงความเจ็บปวดในระยะสั้น

เพราะจะถูกชดเชยด้วยผลประโยชน์ในระยะยาวจากการผลิตในประเทศ 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง