รีเซต

"คนละครึ่งพลัส"ฟื้นยอดร้านค้า-เดลิเวอรี

"คนละครึ่งพลัส"ฟื้นยอดร้านค้า-เดลิเวอรี
TNN ช่อง16
14 ตุลาคม 2568 ( 11:13 )
11

สำหรับรายละเอียดของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ในครั้งนี้จะพบว่าแตกต่างจากโครงการ “คนละครึ่ง” เดิมอยู่เล็กน้อย โดยครั้งนี้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้อนุมัติงบประมาณ 44,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหารเครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดให้กับกลุ่มอายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งแตกต่างจากโครงการเดิมที่กำหนดอายุ18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพราะเด็กรุ่นใหม่มีกำลังซื้อมากขึ้น ขายของออนไลน์ได้มากขึ้น จึงมีสิทธิเข้าโครงการ

ดังนั้นจึงคาดว่า“คนละครึ่งพลัส” ครั้งนี้จะมีประชาชนได้รับประโยชน์มากถึง 20 ล้านคนและหากรวมกับการเติมเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการด้วย จะมีประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้กว่า 33 ล้านรายแบ่งเป็น

1.ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน ได้รับวงเงินเพิ่มเติม 1,700 บาท รวมเป็น 2,000 บาท/เดือน ผ่านบัตรสวัสดิการ คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 22,000 ล้านบาท

2.ประชาชนที่ไม่ได้ยื่นภาษี 9 ล้านคน ภาครัฐร่วมจ่าย ร้อยละ 50 ของยอดใช้จ่ายจริง  วงเงิน 2,000 บาท ใช้จ่ายได้ไม่เกิน 200 บาท/วัน จากโครงการเดิมใช้จ่ายได้ 150 บาทต่อวัน

3.ประชาชนที่ยื่นภาษี 11 ล้านคน ภาครัฐร่วมจ่าย ร้อยละ 50 ของยอดใช้จ่ายจริง วงเงิน 2,400 บาท ใช้จ่ายไม่เกิน 200 บาท/วัน 

โดยการลงทะเบียนครั้งนี้ ทางฝั่งร้านค้านั้นสำหรับกลุ่มร้านค้า เปิดให้ลงทะเบียนวันที่ 15 – 19 ตุลาคม 2568 ส่วนกลุ่มประชาชนทั่วไป เปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม - 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 – 22.00 น.) ผ่าน แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” 

โดยเมื่อลงทะเบียนเสร็จสิ้น จะสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่  29 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00-23.00น. ของทุกวัน และจะต้องมีการใช้สิทธิครั้งแรกภายใน วันที่ 11 พ.ย. 68 ภายในเวลา 23.00 น. เพื่อมิให้ถูกยกเลิกสิทธิ คนละครึ่ง พลัส

สำหรับร้านค้านั้น สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ผ่านทางเว็บไซด์คนละครึ่งพลัสและจุดตั้งบูธกระทรวงมหาดไทยร่วมกับธนาคารกรุงไทย หรือ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา

โดยเงื่อนไขของร้านค้าที่จะสามารถใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่งพลัสได้นั้น จะต้องเป็นนิติบุคคลขนาดเล็ก เฉพาะที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น 

ตามกฎหมายไทยที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 68 และงบการเงินตามมาตรา 69 แห่งประมวลรัษฎากร (ภ.ง.ด.50) โดยมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 กันยายน 2568   

นอกจากนี้จะต้องไม่เป็นผู้ที่ถูก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 – 5

ขณะที่ในส่วนของร้านค้าที่กังวลเรื่องจะถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังหากเข้าร่วมโครงการ  เรื่องนี้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 

ยืนยันว่าข้อมูลทุกอย่างของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ‘คนละครึ่ง พลัส’ จะถูกเก็บไว้เป็นข้อมูลลับ และไม่ถูกนำส่งให้กรมสรรพากร 









ส่วนฝั่งเอกชนอย่างนางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ระบุว่า จากกระแสโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่กำลังจะเปิดให้ร้านค้ารวมถึงร้านอาหารรายเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาท ลงทะเบียนในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ คาดว่าสมาชิกของสมาคมบางส่วนที่เป็นร้านใหญ่ คงจะเข้าร่วมโครงการไม่ได้ทั้งที่มีการจ่ายภาษีให้รัฐทุกปี

ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลเร่งพิจารณาให้มีโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2 หรือเที่ยวคนละครึ่งหรือเที่ยวลดหย่อนภาษีหรือทัวร์ไทยคนละครึ่งก็ได้ เนื่องจากโครงการเหล่านี้จะช่วยทั้งภาคการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการร้านอาหารและโรงแรมได้รับอานิสงส์ไปด้วย

นอกจากนี้อยากให้รัฐบาลมีโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการร้านข้าวแพง มีอยู่ร่วม 100,000 ราย เช่น ลดต้นทุนวัตถุดิบ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ อาจจะหารือร่วมกับซัพพลายเออร์ให้ ผู้ประกอบการซื้อวัตถุดิบในราคาที่ถูกลง เพื่อร้านค้าจะได้ตรึงราคาข้าวแกงได้อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี รวมถึงมีคูปองอาหาร เพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน

ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาระบุว่า  ในส่วนของร้านอาหารซึ่งมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสได้นั้น 

โดยทางรัฐบาลจะมีมาตรการท่องเที่ยวเข้ามาเสริม เพื่อเก็บตกร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการไม่ได้ คาดว่าจะมีการนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้

และอยู่ระหว่างเคาะชื่อโครงการว่าจะเป็นโครงการอะไร เช่น เที่ยวคนละครึ่งหรือใช้ชื่ออื่น รวมถึงรูปแบบการสนับสนุน เช่น รัฐบาลสนับสนุนบางส่วนหรือจะเป็นการลดหย่อนภาษี เช่น ลดภาษีได้ 1 เท่า หรือ 2 เท่าหรือ 1.5 เท่า 

นอกจากนี้ จะมีการขยายพื้นที่ไปยังเมืองหลักด้วย จากเดิมให้เฉพาะเมืองรอง เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและ ใช้จ่ายทั้งประเทศ

นอกจากนี้ “คนละครึ่งพลัส” ในครั้งนี้ ยังเพิ่มสิทธิให้ใช้จ่ายสั่ง "ฟู้ดเดลิเวอรี" สอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทย ที่ซื้อสินค้าอาหารผ่านช่องทางออนไลน์จำนวนมาก ซึ่งล่าสุดบริการฟู้ดเดลิเวอรี ยักษ์ใหญ่ของไทย ทั้ง Grab , Robinhood  และ LINE MAN ออกมาขานรับนโยบายดังกล่าว  และเชื่อมั่นว่าโครงการ คนละครึ่งพลัส จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้บริโภค  และกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้าได้ 

โดยทาง LINE MAN Wongnai มองว่า “คนละครึ่งพลัส” เป็นเรื่องดีสำหรับวงการร้านอาหารไทยที่ประสบปัญหายอดขายตกอย่างหนักโดยเฉพาะในปีนี้   โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ที่ยอดขายลดลงมากถึงร้อยละ14 หากดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพ ยอดขายไตรมาส 2 ลดเยอะกว่าต่างจังหวัดถึงร้อยละ16, พื้นที่ย่านธุรกิจ (CBD) ลดลงร้อยละ19 และพื้นที่ยอดนิยมอย่างบรรทัดทอง ลดลงถึง ร้อยละ 35

ซึ่ง LINE MAN Wongnai เคยร่วมโครงการคนละครึ่งรอบที่แล้วมา  และพบว่ายอดขายของร้านขนาดเล็กโตขึ้น 1.7-4 เท่าในช่วงนั้น และถ้าดูยอดขายจากเดลิเวอรีอย่างเดียวโตเฉลี่ย 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโครงการ

ขณะที่ทางฝั่งRobinhood จะเปิดให้ผู้ใช้งานทั้งร้านค้าและประชาชนสามารถใช้สิทธิ “คนละครึ่งพลัส” ได้สะดวกผ่านการสั่งอาหารและแอปพลิเคชันนอกจากประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับแล้ว 

ซึ่งการเข้าร่วมโครงการยังช่วย สร้างรายได้เสริมและขยายโอกาสให้ร้านค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและ SME ที่เป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้วยการเพิ่มจำนวนออร์เดอร์ ขยายฐานลูกค้าใหม่ และลดต้นทุนการทำการตลาด

ส่วน Grab พร้อมให้การสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่งพลัส” เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารทั้งร้านขนาดเล็กและขนาดกลางที่น่าจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก

และจากฐานข้อมูลที่ Grab เคยสนับสนุนโครงการเมื่อสามปีที่แล้วพบว่าโครงการนี้สามารถสร้างผลเชิงบวกที่เป็นรูปธรรม โดยร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการในช่วงที่ผ่านมามียอดขายเติบโตขึ้นสูงสุดถึง 5 เท่า 

โดย  Grab พร้อมจัดทำแคมเปญการตลาด การให้ส่วนลด หรือโปรแกรมแพ็คเกจเพื่อจูงใจร้านค้าต่างๆ

ส่วนผลลัพธ์ที่ภาครัฐบาลคาดหวังของโครงการ “คนละครึ่งพลัส” นั้น นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 

คาดว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะช่วยกระตุ้นจีดีพีปีนี้ได้ประมาณร้อยละ 0.3 - 0.4 ซึ่งเมื่อรวมกับการคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 0.3 จะทำให้ในไตรมาสสุดท้ายจีดีพีจะขยายตัวได้อย่างน้อยร้อยละ 0.6 ถึง 1 หากรวมกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลจะทยอยออกมาในช่วงสิ้นปีนี้ 

ซึ่งสอดคล้องกับ นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และ ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่ระบุว่า ถ้ารวมมาตรการคนละครึ่งพลัส และบัตรสวัสดิการ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ประมาณ ร้อยละ 0.4 - 0.5 และช่วยทำให้จีดีพีไทยปีนี้เติบโตเกินร้อยละ 2 

และยังสอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่คาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาจหนุนการใช้จ่ายของธุรกิจค้าปลึกในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3  

โดยประเมิน จากการใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคบนฐานธุรกิจค้าปลีกที่น่าจะเพิ่ม ราว 0.3 บาท หากผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท (Marginal propensity to consume: MPC) และภายใต้สมมติฐานการใช้จ่ายของผู้บริโภคเกิดขึ้นภายในในช่วงวันที่ 29 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2568 และมีกรอบวงเงินอยู่ที่ราว 66,000 ล้านบาท

ส่วนยอดขายค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายนั้น มักเร่งขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล ผู้บริโภควางแผนใช้จ่ายช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น เทศกาลคริสต์มาส – ปีใหม่อยู่แล้ว แม้ไม่มีมาตรการฯ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เช่น อาหาร เครื่องดื่มและของใช้ส่วนตัว ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายกว่าร้อยละ 80 ของยอดขายค้าปลีกทั้งหมด

แต่ผลของมาตรการอาจทำให้ผู้บริโภคมีการทยอยซื้อสินค้าดังกล่าวแทนเงินของตัวเอง ขณะที่ภาระและค่าครองชีพยังสูง ดังนั้น แรงหนุนส่วนเพิ่มจากมาตรการคงไม่มากเท่าที่คาดหวัง

ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจช่วยหนุนบรรยากาศการใช้จ่ายของผู้บริโภคระยะสั้นหรือเฉพาะหน้า แต่ภายหลังสิ้นสุดมาตรการ ธุรกิจค้าปลีกยังเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อการเพิ่มยอดขาย


ส่วนทางมาดูทางฝั่งเอกชน จะเห็นว่ามีความคิดเห็นในเชิงสนับสนุนนโยบายนี้ เพราะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศได้ เช่น นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยว่า มาตรการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งรัฐบาลเตรียมเดินหน้าในไตรมาส 4/2568 ถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ 

โดยคาดว่าจะช่วยสร้างการกระจายรายได้ลงสู่ท้องถิ่น ประชาชนกลุ่มเปราะบาง และผู้ประกอบการ SME ในภาคการค้า การบริการ อุตสาหกรรม ตลอดจนเกษตรกรต้นน้ำ ส่งผลให้ GDP ไทยมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปีเพราะมองว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 2-3 รอบเม็ดเงินราว 200,000 ล้านบาทจะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ร้านค้าสะดวกซื้อ และร้านอาหาร

ทั้งนี้จากฐานข้อมูล สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. พบว่าจำนวนผู้ประกอบการร้านอาหาร ภัตตาคาร แผงลอย Food truck และร้านเครื่องดื่ม SME รวมทั้งสิ้น 390,938 ราย แบ่งเป็นรายย่อย (Micro) 359,926 ราย รายย่อม (Small) 30,303 ราย และรายกลาง (Medium) 846 ราย 

ส่วนจำนวนผู้ประกอบการร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ มินิมาร์ท ดิสเคาท์สโตร์  (Discount Store) ไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) ซุปเปอร์มาร์เก็ต (Supermarket) SME รวมทั้งสิ้น 420,242 ราย แบ่งเป็นรายย่อย (Micro) 415,266 ราย รายย่อม (Small) 2,319 ราย และรายกลาง (Medium) 128 ราย

 

โดยจำแนกเป็นร้านขายของชำ 410,747 ราย ร้านสะดวกซื้อ มินิมาร์ท 7,994 ราย Supermarket 1,163 ราย และ Discount Store – Hypermarket 338 ราย เป็นนิติบุคคล 3,463 ราย และบุคคลธรรมดา 416,217 ราย  มีการจ้างงาน 955,881 ราย

ทั้งนี้หากรวมผู้ประกอบการทั้ง 2 กลุ่ม ด้านจะเปิดโอกาสให้มีผู้ได้รับประโยชน์มากถึง 811,180 ราย และจ้างงานรวม 2,045,031 ราย

ส่วนทางฝั่งนักวิชการ ก็ออกมาสนับสนุนโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าเช่นเดียวกันโดย ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความเห็นต่อโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคมนี้ว่า ถือเป็นการต่อยอดนโยบายที่ประชาชนคุ้นเคยอยู่แล้ว และเป็นแนวทางที่ช่วยทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในเวลาเดียวกัน

ซึ่งจุดเด่นของ “คนละครึ่งพลัส” อยู่ที่การอุดหนุนเงินตามสถานะภาษีของผู้ได้รับ ซึ่งช่วยให้เงินหมุนเวียนลงสู่ร้านค้ารายย่อยได้รวดเร็วและทั่วถึง ขณะเดียวกันยังสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีอย่างถูกต้อง 

ถือเป็นการใช้จ่ายงบประมาณที่เกิดประโยชน์สองต่อ ทั้งในระยะสั้นคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ และในระยะยาวคือการเชื่อมโยงนโยบายเข้ากับระบบภาษีที่ช่วยเสริมสร้างวินัยทางการคลังของประเทศ

ดังนั้น แม้โครงการ “คนละครึ่งพลัส” จะดำเนินการเพียงช่วงสั้นๆ แต่เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และถือเป็นโครงการหลักที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโตตามเป้าหมาย ที่รัฐบาลวางไว้ว่า จะพยุงเศรษฐกิจปีนี้เติบโตให้เกินร้อยละ 2

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง