ประท้วงในอเมริกา : ปัจจัยอะไรทำให้การชุมนุมโดยสันติกลายเป็นความรุนแรง
โดย เฮอลี่เอ้อ เฉิง
บีบีซีนิวส์, กรุงวอชิงตันดีซี
การเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน จากการใช้ความรุนแรงจับกุมโดยตำรวจผิวขาว ทำให้เกิดการประท้วงไปทั่วสหรัฐฯ และมีการประกาศเคอร์ฟิวในเกือบ 40 เมือง
การชุมนุมส่วนใหญ่เริ่มต้นอย่างสันติ แต่หลายกรณีก็ทวีความรุนแรงขึ้น โดยผู้ประท้วงปะทะกับตำรวจ จุดไฟเผารถตำรวจ เข้าทำลายอาคาร และปล้นร้านรวง และขณะนี้ทางการได้ส่งเจ้าหน้าที่กองกำลังพิทักษ์ชาติ 5,000 นาย ไปยัง 15 รัฐทั่วประเทศรวมถึงกรุงวอชิงตันดีซี
ผู้เชี่ยวชาญเปรียบเทียบเหตุการณ์นี้กับเหตุจลาจลในอังกฤษเมื่อปี 2011 เมื่อการประท้วงอย่างสันติเรื่องชายคนหนึ่งที่ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตกลายเป็นการก่อจลาจลนาน 4 วัน ซึ่งมีทั้งการปล้นร้านรวงและจุดไฟเผาตึกอาคารไปทั่ว
- ผู้ใช้ทวิตเตอร์ในไทยร่วมเรียกร้องความยุติธรรมให้ชาวอเมริกันผิวดำ
- ทวิตเตอร์ซ่อนและขึ้นป้ายเตือนข้อความของโดนัลด์ ทรัมป์
- ศาลสหรัฐฯ ตัดสินประหารมือปืนเหยียดผิว
เหตุใดการประท้วงถึงขยายเป็นวงกว้างรวดเร็ว และทำไมหลายกรณีจึงกลายเป็นเหตุรุนแรง
ศ. คลิฟฟอร์ด สต็อตต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมมวลชนและการควบคุมฝูงชนของตำรวจ จากมหาวิทยาลัยคีล ในอังกฤษ บอกว่า เหตุการณ์เช่นการเสียชีวิตของนายฟลอยด์เป็นตัวจุดความรุนแรง ได้เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของประสบการณ์ร่วมของคนหมู่มากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจและกลุ่มคนผิวสี
ศ.สต็อตต์ ศึกษาเหตุการณ์จลาจลในอังกฤษเมื่อปี 2011 อย่างลงลึก เขาพบว่าการจลาจลขยายวงกว้างไปหลายเมือง เพราะผู้ประท้วงเมืองอื่น ๆ รู้สึกถึงความ เป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ หรือความรู้สึกเกลียดตำรวจ
ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์ดูเหมือนว่าตำรวจรับมือไม่ไหว ผู้ก่อจลาจลในที่ต่าง ๆ ก็รู้สึกมีพลังอำนาจขึ้นมาที่จะออกไปตามท้องถนนบ้าง
การตอบโต้ของตำรวจเป็นปัจจัยสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า การประท้วงรุนแรงมักจะไม่เกิดในที่ ๆ ตำรวจมีความสัมพันธ์อันดีกับประชาชน แต่ที่สำคัญเช่นกันคือตำรวจรับมือและตอบโต้ผู้ประท้วงอย่างไรขณะเกิดเหตุ
"การจลาจลเป็นผลลัพธ์ของปฏิสัมพันธ์ หมายความว่าตำรวจบริหารจัดการฝูงชนอย่างไรนั่นเอง" ศ.สต็อตต์ กล่าว
ยกตัวอย่างเช่น ในการประท้วงขนาดใหญ่ ความตึงเครียดอาจเริ่มจากการปะทะของคนไม่กี่คนเท่านั้นกับตำรวจ
อย่างไรก็ดี ศ.สต็อตต์ บอกว่าตำรวจตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วงแบบรวม ๆ ไม่ได้เป็นรายบุคคล และหากคนรู้สึกว่าตำรวจใช้ความรุนแรงเกินควร ก็จะยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งฝ่ายเป็น "พวกเรากับพวกมัน" มากขึ้น
นี่อาจทำให้คนรู้สึกว่าสมเหตุสมผลที่จะใช้ความรุนแรงโต้กลับเช่นกัน
ศาสตราจารย์ดาร์แนล ฮันต์ คณบดีคณะสังคมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส หรือ UCLA บอกว่า การที่ทางการส่งกองกำลังพิทักษ์ชาติไปควบคุมฝูงชน ใช้กระสุนยาง แก๊สน้ำตา และสเปรย์พริกไทย ยิ่งทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดอยู่แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
นี่เป็นรูปแบบที่เห็นมาแล้วทั่วโลก อย่างเช่นที่ฮ่องกงก็เริ่มด้วยการประท้วงอย่างสันติเช่นกัน
ขึ้นอยู่กับประเด็นที่คุณกำลังต่อสู้
จิตวิทยาด้านศีลธรรมอาจอธิบายได้ว่าทำไมการประท้วงอย่างสันติถึงได้กลายเป็นรุนแรง
มาร์ลูน มูจิแมน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมองค์การ ที่มหาวิทยาลัยไรซ์ ในรัฐเท็กซัส บอกว่า ศีลธรรมส่วนบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญว่าแต่ละคนมองตัวเองอย่างไร ดังนั้น "เมื่อเราเห็นว่ามีบางอย่างที่ผิดศีลธรรม จะเกิดความรู้สึกรุนแรง เพราะเราเห็นว่าความเข้าใจของเราเรื่องศีลธรรมต้องได้รับการปกป้อง"
และความรู้สึกนี้ก็ทำให้คนมองข้ามเรื่องการรักษาความสงบไป ยกตัวอย่างเช่น หากคนเชื่อว่าการทำแท้งเป็นเรื่องผิดศีลธรรม คน ๆ นั้นก็อาจจะรู้สึกว่าโอเคที่จะวางระเบิดคลินิกทำแท้ง
การปล้นร้านหรือทำลายอาคารอย่างมีนัยยะ
ศ.สต็อตต์ บอกว่า เป็นเรื่องง่ายที่คนเราจะตั้งสมมติฐานว่า พฤติกรรมคนก่อจลาจลทั้งหุนหันและไม่มีที่มาที่ไป แต่จริง ๆ แล้วการก่อจลาจลเป็นไปอย่างมีระบบโครงสร้าง เพราะสิ่งที่ทำมีความหมายต่อผู้ร่วมประท้วง
งานวิจัยถึงการจลาจลครั้งที่ผ่าน ๆ มาชี้ว่า ร้านที่ถูกปล้นมักเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ และการปล้นมักจะเชื่อมโยงกับความรู้สึกไม่เท่าเทียมในระบบทุนนิยม
แต่ ศ.ฮันต์ และ ศ.สต็อตต์ บอกว่าการปล้นร้านรวงขณะจลาจลซับซ้อนกว่านั้น เนื่องจากผู้ประท้วงหลายคนก็มีแรงจูงใจไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนยากคนจน หรือคนที่อยู่ในขบวนการอาชญากรรม
อย่างในฮ่องกง ผู้ประท้วงทำลายกระจกร้านค้า โยนระเบิดขวดใส่ตำรวจ และทำลายรูปสัญลักษณ์ฮ่องกง แต่ไม่ได้ปล้นสิ่งของ
- ตำรวจจับผู้ประท้วง 240 คน ต้านแผนใช้กฎหมายความมั่นคงของจีน
- ประท้วงฮ่องกง : เหตุใดเยาวชนรุ่นใหม่จึงกล้าลุกขึ้นงัดข้อกับทางการ
- ทั่วสหรัฐฯเดินขบวนเรียกร้องทรัมป์เผยข้อมูลภาษี
ลอเรนซ์ โฮ ผู้เชี่ยวชาญด้านตำรวจและการควบคุมความสงบเรียบร้อยของฝูงชน จากมหาวิทยาลัยการศึกษาแห่งฮ่องกง(Education University of Hong Kong) เชื่อว่า การประท้วงที่ฮ่องกงเป็นเรื่องพัฒนาการทางการเมืองและความรู้สึกโกรธเกรี้ยวต่อตำรวจ ไม่ใช่เรื่องความรู้สึกแบ่งแยกและความไม่เท่าเทียมทางสังคม
เราจะป้องกันความรุนแรงได้อย่างไร
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมความสงบเรียบร้อยของฝูงชนหลายคนบอกว่า การที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องและไม่ทำเกินเหตุ และสามารถสนทนาเจรจากับผู้ประท้วงได้เป็นเรื่องสำคัญ
ดร.โฮ ของมหาวิทยาลัยแห่งการศึกษาแห่งฮ่องกง ก็เห็นด้วยว่าการเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเรื่องสำคัญ แต่เป็นเรื่องยากเพราะเดี๋ยวนี้การประท้วงเกิดขึ้นโดยไม่มีผู้นำ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาบอกว่านักการเมืองยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปอีก ไม่ว่าจะด้วยวิธีการที่พวกเขาเลือกใช้ในการรับมือ หรือการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
ศ.ฮันต์ บอกว่า การจลาจลรอบนี้รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1968 ซึ่งเป็นช่วงหลังมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ศาสนาจารย์นักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ถูกลอบสังหาร
เขาบอกว่า การเสียชีวิตของนายฟลอยด์ เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าประเด็นเรื่อง ความเหนือกว่าของคนขาว (white supremacy) การเหยียดเชื้อชาติ และอื่น ๆ ในสหรัฐฯ ไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยาอย่างแท้จริง