เรื่องต้องรู้! ก่อนลงทุน "BANPU"
![เรื่องต้องรู้! ก่อนลงทุน "BANPU"](https://cms.dmpcdn.com/contentowner/2020/08/18/15980f10-e133-11ea-8e82-0b494f6be91c_original.jpg)
#ทันหุ้น - บล.หยวนต้า ส่องหุ้น บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ประเมิน Q4/67 ถูกกดดันจากการปรับโครงสร้างธุรกิจไฟฟ้า
โดยปลายปี 2567 BPP (BANPU ถือหุ้น 78.66%) แจ้งข่าวจำหน่ายการลงทุน 13.4% (ราว 10.5% ตามสัดส่วนของ BANPU) ใน Nakoso โรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศญี่ปุ่น กำลังผลิต 543 MW (ราว 73 MW และ 57 MW ตามสัดส่วนถือหุ้นของ BPP และ BANPU ตามลำดับ) เพื่อปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ลดปล่อยคาร์บอนในระยะยาว โดยจะสามารถนำเงินทุนที่ได้จากธุรกรรมครั้งนี้ไปลดภาระหนี้สินและรองรับการลงทุนในอนาคต
อย่างไรก็ตาม มูลค่าซื้อขายครั้งนี้อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท (ตามสัดส่วน13.4%) ต่ำกว่ามูลค่าเงินลงทุน ทำให้คาดว่า BPP และ BANPU จะบันทึกขาดทุนจากธุรกรรมนี้ใน Q4/67 (ก่อนหักภาษี) ราว 1.5 พันล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท ตามลำดับ รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจะลดลงราว 150-200 ล้านบาท/ปีและ 120-160 ล้านบาท/ปีตามลำดับ
คาด Q4/67 ขาดทุน...High Season ของก๊าซไม่สามารถชดเชยขาดทุนธุรกิจไฟฟ้าได้ โดยคาด Q4/67 จะขาดทุนสุทธิ 883 ล้านบาท (vs -830 ล้านบาทใน Q3/67 และ -1.2 พันล้านบาทใน Q4/66) เมื่อเทียบกับ Q3/67 แม้อุปสงค์ก๊าซธรรมชาติเร่งตัวขึ้นช่วง High Season
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการจะลดลง QoQ ต่ำกว่ามุมมองก่อนหน้า สาระสำคัญ ดังนี้ 1) คาดธุรกิจก๊าซดีขึ้นตามปริมาณขาย และราคาขาย 2) กำไร FX 700 ล้านบาทจากเงินบาทอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ประเด็นบวกดังกล่าวไม่สามารถชดเชย 3) ขาดทุนจากธุรกรรมจำหน่าย Nakoso1.2 พันล้านบาท 4) ธุรกิจถ่านหินได้รับแรงกดดันจากปริมาณฝนตกเพิ่มขึ้นในอินโดนีเซีย และแผนย้ายเครื่องจักรในออสเตรเลีย ทำให้ปริมาณผลิตของ ITM เหลือ 5.2 ล้านตัน (-10% QoQ) และ CEY เหลือ 1.6 ล้านตัน (-30% QoQ) กดดันให้ต้นทุนการผลิตของ CEY เร่งตัวขึ้นเป็น AS152/ตัน (+10% QoQ) จาก Volume Effect และค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุง 5) ธุรกิจไฟฟ้าคาดอ่อนตัวลงตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าก๊าซ Temple ในสหรัฐฯ, ต้นทุนเชื้อเพลิงสูงขึ้น, ส่วนแบ่งกำไรของ BLCP และหงสาต่ำลงจากแผนหยุดซ่อมบำรุง 6) ค่าใช้จ่ายบริหารเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล
ปี 2568 คาดธุรกิจก๊าซจะมีทิศทางที่ดี คงมุมมองธุรกิจก๊าซปี 2568 ปรับตัวดีขึ้น YoY คาดราคาก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ เฉลี่ย US$3/mmbtu เทียบกับ US$2.4/mmbtu ในปี 2567 ซึ่งถือว่าต่ำสุดนับตั้งแต่เกิด Covid ปี 2563 เพราะสภาพอากาศช่วงต้นปี 2567 ไม่หนาวเย็นทำให้ปริมาณสต็อกสูง และมีข้อจำกัดการส่งออกจากกำลังผลิต LNG ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ในปี 2568 คาดสถานการณ์จะฟื้นตัวจาก 1) อุณหภูมิช่วงต้นปี 2568 หนาวเย็นตามฤดูกาล 2) ปริมาณสินค้าคงคลังต่ำกว่าปี 2567 3) การ COD โรงงาน LNG ของสหรัฐฯ ช่วงปลายปี 2567 ทำให้ส่งออก LNG ได้มากขึ้น (ดีต่ออุปสงค์ก๊าซธรรมชาติ) 4) อุปสงค์จาก EU หลังรัสเซียยุติส่งก๊าซทางท่อตั้งแต่ต้นปี 2568
ปรับประมาณการให้ระมัดระวัง...ระยะสั้นราคาก๊าซอาจเริ่มชะลอตามฤดูกาล แนวโน้ม Q4/67 อ่อนแอกว่ามุมมองก่อนหน้า ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการปี 2567 –2568 ให้ระมัดระวังมากขึ้น โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 655 ล้านบาท และ 3.5 พันล้านบาท ตามล าดับ อ้างอิงสมมติฐานราคาถ่านหิน US$135/ตัน และ US$90/ตัน ตามลำดับ และราคาก๊าซธรรมชาติ US$2.4/mmbtu และ US$3/mmbtu ตามลำดับ
ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2568 เป็น 5.30 บาท อ้างอิง PBV -1.7 SD ที่ 0.4 เท่า (เดิม 0.5 เท่า) แม้ปี 2568 จะฟื้นตัวจากธุรกิจก๊าซที่เร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ TRADING เพราะระยะสั้นทิศทาง Q4/67 อ่อนแอ, โมเมนตัมราคาก๊าซกำลังชะลอตัวหลังใกล้สิ้นสุดฤดูหนาว, ความเสี่ยงถูกตลาด ปรับลดประมาณการ (คาดประกาศงบการเงินวันที่ 26 ก.พ.)