รีเซต

มิจฉาชีพหลอกยายวัย 77 ซื้อมือถือ 6 เครื่อง มูลค่ากว่าแสน อ้างว่าจะให้ค่าจ้าง 1 พัน

มิจฉาชีพหลอกยายวัย 77 ซื้อมือถือ 6 เครื่อง มูลค่ากว่าแสน อ้างว่าจะให้ค่าจ้าง 1 พัน
มติชน
23 มกราคม 2565 ( 14:13 )
115
1
มิจฉาชีพหลอกยายวัย 77 ซื้อมือถือ 6 เครื่อง มูลค่ากว่าแสน อ้างว่าจะให้ค่าจ้าง 1 พัน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 มกราคม 2565 ที่บ้านเลขที่ 58 หมู่ 7 ต.บ้านโนน อ.ซำสูง จ.ขอนแก่น นางทองตัด สมณะ อายุ 77 ปี นำหลักฐานข้อมูลการเช่าซื้อโทรศัพท์มือถือจากบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์รายหนึ่ง ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ซื้ออ้างว่าจะให้เงิน 1,000 บาท เป็นค่าจ้าง มาแสดงให้กับผู้สื่อข่าวดู หลังถูกกลุ่มมิจฉาชีพอ้างว่าใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว สามาถซื้อได้ ก่อนที่จะถูกหลอกซื้อไปจำนวนทั้งสิ้นจำนวน 6 เครื่อง รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท

 

นางทองตัด กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมาขณะนั่นเล่นอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านตามปกติ มีคนร้ายเป็นชายหญิงจำได้ว่าอยู่หมู่บ้านใกล้เคียง เข้ามาชวนคุยก่อนที่ทั้งคู่จะชวนซื้อโทรศัพท์ ซึ่งตนเองก็บอกไปว่าไม่มีเงินซื้อ โดยคนร้ายว่าไม่ต้องใช้เงินแค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียว พร้อมทั้งจะให้ค่าจ้างเป็นเงิน1,000 บาทด้วยถ้าตกลงจะเอารถมารับ

 

“ยายหลงเชื่อตกลงตามที่คนร้ายบอก จากนั้นทั้งคู่ก็กลับไปเอารถยนต์มารับที่บ้าน โดยคนร้ายบอกตอนแรกจะพาไปเซ็นทรัลขอนแก่น แต่ได้พาไปซื้อโทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ จ.อุดรธานี รวม 3 แห่ง (โลตัส/บิ๊กซี/เซ็นทรัลพลาซ่าอุดรธานี) รวมทั้งสิ้นจำนวน 6 เครื่อง โดยซื้อจากศูนย์ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ทั้ง 3 ยี่ห้อ และร้านค้าปลีกอีก 3 ร้าน โดยแต่ละร้านจะให้เซ็นชื่อ ซึ่งยายอ่านหนังสือไม่ออกอ่านได้แค่ชื่อ ก็เซ็นไปตามที่คนร้ายและร้านค้าบอก และในการสั่งซื้อนั้นจะอ้างว่าเป็นญาติกันตลอด ก่อนจะแล้วเสร็จในเวลาประมาณ 18.00 น. คนร้ายจึงพากลับบ้านแล้วก็ให้เงิน 1,000 บาทตามที่ตกลง โดยไม่รู้ว่าตลอดทั้งวันนั้น คนร้ายได้แอบปิดเสียงเรียกเข้าและยกเลิกการสั่นในมือถือของตนเอง ทำให้ไม่มีใครสามารถ ติดต่อยายได้”

 

ยายทองตัด กล่าวต่ออีกว่า ในช่วงที่คน้ราย้พาไปซื้อโทรศัพท์มือถือนั้นได้แจ้งว่าหากมีเอกสารใด ๆ ส่งมาที่บ้านให้ฉีกทิ้งและนำไปทิ้งถังขยะได้เลย เพราะไม่มีผลใด ๆ จนกระทั่งตนเองกลับถึงบ้านเวลา 20.00 น. พบว่าลูกหลานกำลังตามหา และรอด้วยความเป็นห่วง จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง จนทราบต่อมาว่าถูกหลอก ซึ่งตนเองนั้นเสียใจมากเพราะต้องกลายเป็นหนี้กว่า 100,000 บาท จึงตัดสินใจคิดสั้นฆ่าตัวตาย โดยตั้งใจจะผูกคอตายเพราะคิดว่าทุกอย่างจะได้จบลูกหลานจะได้ไม่เป็นหนี้ เพราะเงินหลักแสนบาทคงไม่มีปัญญาหามาใช้หนี้ได้ อีกทั้งที่บ้านไม่มีไร่นา ลูกหลานก็ยากจนหาเช้ากินค่ำ แต่หลานเข้ามาช่วยเอาไว้ทัน

 

ขณะที่นางอรทัย ยืนยาว อายุ 46 ปี ลูกสาว บอกว่าคุุณแม่มีลูก 6 คนแต่อาศัยที่หมู่บ้านกับแม่เพียง 3 คนที่เหลือไปทำงานต่างจังหวัด โดยแม่จะพักอาศัยที่บ้านคนเดียว ตนและพี่น้องคนอื่น ๆ อยู่บ้านข้างเคียง ทุกคนมีอาชีพรับจ้าง เช้ามาก็ออกไปทำงานช่วงกลางวันจะปล่อยแม่ไว้คนเดียว พอเกิดเหตุขึ้นมาก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะทุกคนก็มีภาระทำงานหากินไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ ที่ผ่านมาก็ได้พยายามทวงถามหญิงสาวที่มาหลอกแม่ ซึ่งทราบชื่อต่อมาว่านางรุ่งนภา ไขกันหา ซึ่งอาศัยหมู่บ้านข้างเคียงกัน และได้รับคำตอบว่าที่ทำไม่ผิดกฎหมายใด ๆ และอ้างว่ายายยินยอมและยังให้เงินยายเป็นค่าจ้างไปแล้ว 1,000 บาท ไม่สามารถเอาผิดได้ พร้อมท้าทายให้ไปแจ้งความ

 

” หลังเกิดเหตุพอแม่รู้ว่าถูกหลอก คุณแม่ก็เสียใจมากร้องไห้ตลอดเวลากระทั่งคิดสั้นฆ่าตัวตาย อยากให้ตำรวจหรือหน่วยงานที่มำอำนาจทางกฎหมาย เอาผิดคนร้ายทั้ง 2 คนนี้ เพราะอาจจะมีคนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อได้อีก พร้อมอยากจะขอให้ผู้ให้บริการขายโทรศัพท์มือถือทั้ง 3 ค่าย ช่วยเหลือยกเลิกสัญญาเช่าซื้อของคุณแม่ด้วย เพราะถูกมิจฉาชีพมาหลอกทำการซื้อไป ซึ่งจากการสอบถามร้านที่คนร้ายพาแม่ไปซื้อโทรศัพท์พบว่า แม่ได้เซ็นสัญญาซื้อมือถือรวม 6 เครื่อง ประกอบด้วย ซื้อจากค่าย DTAC 1 เครื่อง(ไม่ทราบยี่ห้อ) ทำสัญญาผ่อน 12 งวดๆละ 600 บาท, ซื้อที่ศูนย์ AIS จำนวน 2 เครื่อง ยี่ห้อ OPPO ทำสัญญาผ่อน 12 เดือนๆ ละ 599 บาท, ยี่ห้อ IPHONE13 ทำสัญญาผ่อน 12 เดือนๆ ละ 1,600 บาท, ที่ศูนย์ TRUE จำนวน 3 เครื่องไม่ทราบยี่ห้อ ทำสัญญาผ่อน 12 เดือนๆ 699 , 1,699 และ 1,699 บาท ซึ่งทั้ง 6 เครื่องไม่รวมค่าบริการรายเดือนอีก รวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท ทางเจ้าหน้าที่ศูนย์จำหน่ายมือถือ AIS และ TRUE แจ้งกลับว่าให้แจ้งความก่อน ทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการส่งเรื่องมาดำเนินการเอง ส่วน DTAC ต้องเดินทางกลับมาที่ศูนย์บริการที่ขอนแก่น ซึ่งทางศูนย์ต่างๆก็ช่วยเหลือทั้งข้อมูลและรับปากจะช่วยเหลือเท่าที่บริษัทฯจะช่วยได้”

 

ขณะที่นางจำรัส เขียวโพธิ์ อายุ 54 ปี ลูกสาวยายทองตัด กล่าวว่า หลังเลิกงานมาพบว่าแม่หายตัวไป ได้โทรศัพท์ติดต่อไปก็ไม่มีคนรับสายรู้สึกเป็นห่วงมาก สอบถามลูกสาวก็บอกเพียงว่ามีคนมารับไปจังหวัดอุดรธานีแต่ไม่รู้ว่าเป็นใครคิดว่าเป็นคนรู้จักกับยาย ตอนนั้นไม่รู้จะทำยังไง วิ่งไปขอความช่วยเหลือกับกำนัน พอแม่กลับมาตอนค่ำก็ใจชื้นขึ้นมา สอบถามแม่บอกว่าเขาพาไปเอาเงินพันที่อุดรธานี แค่พาไปซื้อโทรศัพท์ ซึ่งสีหน้าแม่ตอนนั้นดีใจมากที่ได้เงินและยังบอกลูกหลานอีกว่าจะเอาเงินพันนี้ซื้อของอร่อยๆให้ลูกหลานกิน กระทั่งได้สอบถามรายละเอียดต่างๆพบว่าแม่ซื้อโทรศัพท์ 6 เครื่อง เครื่องละ 3-4 หมื่นบาท จึงมั่นใจว่าแม่ถูกหลอกแน่นอน รวมมูลค่าก็หลักแสนบาท

 

” จากนั้นจึงพาแม่เข้าแจ้งความที่ สภ.ซำสูง แต่ไม่สามารถแจ้งความได้ ทางตำรวจบอกให้ไปแจ้งความที่ สภ.อุดรธานี เพราะเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ตนเองจึงยืมรถหลานพาแม่เดินทางไปแจ้งความที่ สภ.อุดรธานี ตำรวจก็สอบถามข้อมูลว่ามารับยายที่ไหน ตนเองก็บอกที่บ้านที่ อ.ซำสูง ตำรวจก็ถามกลับว่าคนร้ายมารับที่ อ.ซำสูง ทำไมไม่ไปแจ้งความที่ สภ.ซำสูง ตนเองก็อธิบายให้ตำรวจฟังว่า ที่ สภ.ซำสูงบอกว่าเหตุเกิดที่อุดรธานี ต้องมาแจ้งที่นี่ ตำรวจอุดรธานีจึงลงบันทึกประจำวันไว้ให้พร้อมประสานไปที่ สภ.ซำสูง ทางตำรวจสภ.ซำสูงจึงยอมที่จะรับแจ้งความ โดยให้พาแม่เข้าแจ้งความในวันที่ 26 ม.ค. นี้ ต่อมาคืนวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้ไปเรียกแม่ แต่พบว่าไม่มีเสียงขานตอบ จึงได้ส่องดูทางช่องลม เห็นแม่ผูกคอกับวงกบประตูเปิดยังไงก็ไม่ออก จึงรีบบอกหลานเขยให้รีบปีนเข้าไปช่วยเอาไว้ทัน อย่างไรก้ตามครอบครัวอยากให้ตำรวจช่วยติดตามตัวมาดำเนินคดีเพราะเชื่อว่าเป็นขบวนการ อยากให้เร่งรัดคดีให้รวดเร็วตอนนี้แม่ต้องเป็นหนี้เพราะถูกหลอก”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง