ลดหย่อนภาษีหนุนติดตั้ง "โซลาร์รูฟท็อป" ใครได้ประโยชน์มากสุด

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ 24 มิ.ย. 2568 อนุมัติมาตรการการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนด้วยมาตรการทางภาษี โดยสนับสนุนให้บ้านเรือนติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar rooftop) “กลุ่มเป้าหมายคือบุคคลธรรมดาที่เสียภาษี ซึ่ง สามารถนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 200,000 บาท โดยมีผลถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 มีการประเมินว่าหากใช้สิทธิลดหย่อนเต็มเพดาน 200,000 บาท และเป็นผู้มีรายได้ตั้งแต่ 450,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปจะสามารถประหยัดภาษีได้สูงสุดราว 70,000 บาทต่อปี เพราะกลุ่มนี้จะอยู่ในฐานภาษีที่สูงสุดร้อยละ 35”
หากเป็นผู้มีรายได้ 120,000 - 180,000 บาทต่อเดือน ประหยัดภาษีได้มากสุดราว 50,000 บาทต่อปี ขณะที่กลุ่มรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนจะไม่ได้สิทธิเพราะไม่เสียภาษี
ส่วนผู้มีรายได้สูงและมีความต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์เกินกว่าขนาด 10 กิโลวัตต์ จะไม่ได้รับสิทธิมาตรการภาษีที่รัฐบาลกำหนดไว้ต้องไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ และต้องเป็นระบบ On-Grid เท่านั้น
สำหรับผลต่อภาคธุรกิจ คาดว่ามาตรการนี้จะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นตลาดโซลาร์เซลล์ในไทย 20,250 ล้านบาท คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ 90,000 ราย โดยมูลค่ากว่าตลาดกว่า 2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17 ของมูลค่าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ในปี 2567 ซึ่งสหรัฐฯ นับเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีแผงโซลาร์จากไทย เก็บภาษีป้องกันการทุ่มตลาด (AD) เฉลี่ยราวร้อยละ 78 และบางบริษัทที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ถูกบวกภาษีตอบโต้การอุดหนุน (CVD) จนภาระภาษีรวมสูงกว่า 300 - 900% ส่งผลกระทบต่อการส่งออกโซลาร์เซลล์ไปในตลาดสหรัฐพอสมควร
มาตรการสนับสนุนลดหย่อนภาษีจากการติดตั้งแผงโซลาร์ที่ออกมานี้ มาจากการที่ไทยประกาศเจตนารมณ์ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26)
คาดว่าจะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าของประเทศ ประมาณ 584 ล้านหน่วยต่อปีลดการนำเข้า Spot LNG เพื่อผลิตไฟฟ้า 2,100 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 2.65 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
นอกจากนี้ ยังจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด ลดการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศในระยะยาว
ถ้าไปดูว่าหากต้องลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์จะคุ้มค่าแค่ไหน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีการประเมินว่าการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาดไม่เกิน 10 กิโลวัตต์จะช่วยลดค่าไฟในบ้านได้เฉลี่ยร้อยละ 50 ต่อเดือน หรือประมาณ 1,500 - 5,000 บาทต่อเดือน เพราะระบบ On-Grid ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้เฉพาะในช่วงกลางวัน แต่ยังต้องใช้ไฟจากการไฟฟ้าในช่วงกลางคืน
หากต้องการใช้ไฟจากโซลาร์ทั้งวันเพื่อประหยัดค่าไฟฟ้ามากขึ้น อาจต้องติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มเติมเพื่อสำรองไฟฟ้าไว้ใช้ในช่วงกลางคืน ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่าย และไม่ครอบคลุมในเงื่อนไขการลดหย่อนภาษี
“ภาษีที่ภาครัฐลดหย่อนช่วยลดค่าติดตั้งโซลาร์ได้ราวร้อยละ 5 - 25 ของราคาติดตั้งจริงในตลาด” นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมโครงการยังได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากแนวโน้มค่าติดตั้งโซลาร์ที่คาดว่าจะปรับลดลงเฉลี่ยปีละประมาณ ร้อยละ 7 อันเป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดส่งออกโซลาร์ของไทยไปสหรัฐฯ ซบเซา เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
“สิทธิลดหย่อนภาษียังช่วยให้การติดตั้งโซลาร์คืนทุนไวขึ้นเฉลี่ย 1 ปี ใช้เวลาคืนทุนเหลือเพียง 3 - 4 ปี” หลังจากนั้นผู้ใช้สิทธิลดหย่อนจะได้กำไร 21 - 22 ปี ก่อนจะต้องเริ่มเปลี่ยนแผงโซลาร์ใหม่ตั้งแต่ปีที่ 25 เป็นต้นไป
ทางด้านวิจัยกรุงศรี วิเคราะห์ว่า Solar Rooftop เป็นโอกาสและความท้าทายของภาคธุรกิจของไทย
การติดตั้ง Solar rooftop ของประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตจากแผน PDP ที่มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าเป็นร้อยละ 51 และกำหนดว่ามาจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง ร้อยละ16 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ดังนั้นแนวโน้มสำคัญที่จะเอื้ออำนวยต่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา ได้แก่
การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อรองรับการขยายตัวของการพัฒนาระบบ Solar rooftop : โดยปัจจุบันกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการร่างกฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งโซลาร์เซลล์ คาดว่าระเบียบนี้จะช่วยปรับปรุงกระบวนการอนุมัติโครงการ Solar rooftop และส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้น
พลวัตของตลาด (Market dynamics): ที่ช่วยสนับสนุนการติดตั้ง Solar rooftop ได้แก่ การที่ธุรกิจ โรงงาน และสถาบันการศึกษาตระหนักถึงประโยชน์ทางการเงินและความน่าเชื่อถือที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น ราคาค่าไฟฟ้าในประเทศที่ยังทรงตัวสูง ขณะที่ทางฝั่งอุปทาน ต้นทุนการติดตั้ง Solar rooftop ไม่สูงมากเช่นในอดีต และยังอาจลดลงต่อเนื่องจากอุปทานส่วนเกินของสินค้าจากจีนล้นตลาด ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องลดราคาสินค้าลง นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (Energy Storage System: BESS) จะช่วยเพิ่มอัตราการนำไปใช้งานอีกด้วย
แม้ว่าอนาคตของ Solar rooftop จะมีแนวโน้มที่ดี แต่ยังคงมีประเด็นท้าทาย ดังนั้น “ธุรกิจนี้จึงควรมีแนวทางเชิงกลยุทธ์เพื่อก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ”
ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ : สร้างพันธมิตรและเครือข่ายความร่วมมือกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิต ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาโครงการ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ รวมถึงธุรกิจ Data center ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก และมักจะถูกกำหนดให้ใช้พลังงานสะอาดตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นการขยายช่องทางการตลาดและขยายขนาดของการผลิตไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนจากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ซึ่งจะหนุนโอกาสในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรจากการลงทุนติดตั้ง Solar rooftop ได้มากขึ้น
เพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการ : โดยเฉพาะด้านการบริหารระบบการส่งกระแสไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายไปยังลูกค้าภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบที่ผ่านสายส่งเข้าระบบโครงข่ายการไฟฟ้า หรือผ่านสายส่งของเอกชนเองก็ตาม พร้อมกับต้องมีการออกแบบระบบการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงบนหลังคาที่มีขนาดเหมาะสมรองรับปริมาณการผลิตไฟฟ้าตามความต้องการของตลาดในพื้นที่
การลงทุนใน Solar rooftop จะเป็นก้าวสำคัญของภาคธุรกิจเพื่อรองรับเทรนด์พลังงานสะอาดที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในเวทีโลก และธุรกิจเกี่ยวกับ Solar rooftop กำลังเป็นธุรกิจต้นน้ำสำคัญที่จะเติบโตเพิ่มมากขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
