“หวนสู่ยุคอาวุธนิวเคลียร์ ?” โลกเผชิญความเสี่ยงใหม่ เมื่อหลายชาติแห่สะสมอีกครั้ง

หากพูดถึง “อาวุธที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค” คงไม่มีสิ่งใดทำลายล้างได้รุนแรงเท่า “อาวุธนิวเคลียร์” อาวุธที่โลกได้เห็นอานุภาพมาแล้ว เมื่อสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิมะและนางาซากิในปี 1945
ต่อจากนั้น ในยุคหลังสงครามเย็น โลกพยายามยับยั้งการแพร่ขยายของอาวุธนิวเคลียร์ ทว่าจุดยืนนั้นกำลังสั่นคลอน เมื่อหลายประเทศกลับหันมาสะสมหัวรบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหลัง “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งสัญญาณฟื้นการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง
คำถามคือ วันนี้ โลกของเรากำลังเข้าใกล้ความเสี่ยงของสงครามนิวเคลียร์แค่ไหน ?
9 ชาติครองอาวุธนิวเคลียร์
ข้อมูลจาก ICAN ปี 2025 พบว่า โลกของเรามีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ทั้งหมด 12,331 ลูก โดยมี 9 ประเทศที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ ได้แก่ รัสเซีย, สหรัฐฯ, จีน, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, อินเดีย, ปากีสถาน, อิสราเอล และเกาหลีเหนือ
ประเทศที่มีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุด คือ รัสเซีย 5,449 ลูก รองลงมาคือสหรัฐฯ 5,277 ลูก และจีนก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ประเทศที่มีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุด อยู่ที่ 600 ลูก
นอกจากนี้ ยังมีอีก 6 ประเทศที่ไม่ได้ครอบครอง แต่เป็นที่ตั้งหัวรบนิวเคลียร์ของชาติอื่น คือ อิตาลี ตุรกี เบลเยียม เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ ที่อาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ตั้งอยู่ ส่วนเบลารุสเอง เชื่อว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียประจำการอยู่เช่นกัน
“สนธิสัญญา” หัวใจหลัก ไม่ให้โลกก่อสงครามนิวเคลียร์
ถึงโลกจะมีหัวรบนิวเคลียร์มากมาย และมีหลายพันลูกอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีชาติใดกล้าใช้อาวุธเหล่านี้โจมตีกันจริง ๆ แม้จะถูกนำมา “ขู่” หรือ “แสดงแสนยานุภาพ” หลายครั้งยามเกิดความขัดแย้ง
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ โลกยังมี “สนธิสัญญาระหว่างประเทศ” ที่ช่วยยับยั้งการแพร่ขยายและการใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้โลกเดินซ้ำรอยหายนะในอดีต
หนึ่งในข้อตกลงสำคัญคือ “สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์” หรือ NPT ถือเป็นรากฐาน ของความพยายามในการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก มีผลบังคับใช้เมื่อปี 1970
สนธิสัญญานี้เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น เมื่อหลายประเทศเร่งพัฒนาและทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ ก่อนจะตระหนักถึงอันตรายมหาศาลที่อาจเกิดขึ้น และสหรัฐฯ ก็เป็นผู้นำในการผลักดันให้เกิดสนธิสัญญาฉบับนี้ขึ้น
สนธิสัญญา NPT มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่ ป้องกันการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์, ส่งเสริมการใช้พลังงานนิวเคลียร์อย่างสันติ และผลักดันให้ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ลดและมุ่งสู่การปลดอาวุธในอนาคต
ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา สนธิสัญญานี้ช่วยชะลอการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ และมีส่วนทำให้จำนวนหัวรบทั่วโลกลดลงจากกว่า 70,000 ลูกในทศวรรษ 1980 เหลือราว 12,331 ลูกในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีสนธิสัญญา New START ซึ่งเป็นสนธิสัญญา ระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2011 โดยจะจำกัดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ประจำการแต่ละฝ่ายไว้ไม่เกิน 1,550 ลูก
แต่ข้อตกลงนี้จะ หมดอายุในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2026 และจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีข้อตกลงใหม่มาทดแทน ซึ่งอาจนำโลกกลับเข้าสู่ “ยุคแห่งการแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์” อีกครั้ง
โลกใกล้เข้าสู่ยุคสะสมอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่-สหรัฐฯ หวนทดสอบนิวเคลียร์
สงครามความขัดแย้งทั่วทุกมุมโลกที่เพิ่มมากขึ้น ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้หลายประเทศ พัฒนา และแข่งสะสมอาวุธนิวเคลียร์เป็นของตัวเอง
โดยเฉพาะเมื่อ “ทรัมป์” สั่งให้กระทรวงการสงครามสหรัฐฯ หันมาเริ่มทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า ประเทศอื่นก็ทำกัน สหรัฐฯ ต้องทำบ้าง เพื่อให้ศักยภาพเท่าเทียม โดยกล่าวหา รัสเซียกับจีนก็ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ด้วยเช่นกัน แม้ 2 ประเทศจะปฏิเสธ
ถ้อยแถลงของเขาทำให้หลายคนเชื่อว่า สหรัฐฯ จะกลับมาทดสอบนิวเคลียร์เต็มรูปแบบอีกครั้ง หลังจากยุติไปตั้งแต่ปี 1992
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ก็ออกมาเปิดเผยว่า การทดสอบที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ ไม่ใช่การทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ แต่เป็นการจำลองสถานการณ์เพื่อทดสอบว่า อาวุธยังสามารถใช้งานได้อยู่
ขณะเดียวกัน ตัวทรัมป์เอง ก็เคยเปิดเผยแนวคิดการเจรจาลดอาวุธนิวเคลียร์แบบ 3 ฝ่ายกับรัสเซียและจีน
ผลกระทบจากการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์มีอะไรบ้าง ?
ดาริล คิมบอลล์ ผู้อำนวยการสมาคมควบคุมอาวุธ (Arms Control Association) เตือนว่า การประกาศของทรัมป์ อาจกระตุ้นให้ประเทศคู่แข่งสหรัฐฯ ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ตาม และการทดสอบของสหรัฐฯ เองก็อาจละเมิด สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์
ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนชี้ว่า สหรัฐฯ จะสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีโลกเรื่องความปลอดภัยของอาวุธนิวเคลียร์ อีกทั้งต้องทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สำหรับสร้างสถานที่ทดสอบใหม่ และประชาชนในบริเวณใกล้เคียงอาจเผชิญความเสี่ยงด้านสุขภาพ เช่น โรคมะเร็ง
รายงานจาก SIPRI’s Yearbook 2025 ระบุว่า โลกกำลังเข้าสู่การแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์ครั้งใหม่ที่อันตราย ความพยายามควบคุมอาวุธนิวเคลียร์กำลังพังทลายลง หลายประเทศกำลังขยาย และพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้ทันสมัยมากขึ้น
นอกจากนี้ หลายประเทศที่ไม่เคยมีอาวุธนิวเคลียร์มาก่อน ก็เริ่มมองหาสิ่งนี้มากขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า ยุคการยับยั้งการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ค่อย ๆ เสื่อมลง
หากสงครามนิวเคลียร์ปะทุขึ้น โลกจะเป็นอย่างไร ?
ICAN อธิบายว่า ถ้าชาติใดชาติหนึ่งทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงในเมืองใหญ่ มันก็จะสังหารประชากรได้หลายสิบล้านคน
เมื่อระเบิดนิวเคลียร์ถูกจุดชนวน เพียงแค่ 10 วินาที ลูกไฟของการระเบิดก็จะขยายตัวถึงจุดสูงสุด พลังงาน ความร้อน และกัมมันตภาพรังสีมหาศาล จะถูกปล่อยออกมา
คลื่นกระแทก หรือ Shock Wave จะพุ่งกระจายด้วยความเร็วหลายร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผู้คนใกล้ศูนย์กลางระเบิด ล้มตายทันที ทุกอย่างแทบเป็นจุล ระเหยเป็นไอ อยู่ใต้ดินก็ไม่รอด หากไม่เสียชีวิตจากแรงระเบิด ก็จะขาดออกซิเจน หรือภาวะพิษคาร์บอนมอนอกไซด์
ผู้คนยังอาจเสียชีวิตทางอ้อม จากอาคารที่พังถล่ม และสะเก็ดซากที่กระเด็นมาใส่
สมมติง่าย ๆ คือ ถ้าระเบิดนิวเคลียร์ “ซาร์บอมบา” ของรัสเซีย ซึ่งเป็นอาวุธนิวเคลียร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีพลังทำลายล้างรุนแรงที่สุดของโลก ถล่มใจกลางกรุงเทพฯ อาคารบ้านเรือนเมืองหลวงของเรา จะพังราบเป็นหน้ากลองทันที
หรือถ้าหากสหรัฐฯ และรัสเซียยิงนิวเคลียร์ใส่กัน ผู้คนจะตายมากกว่าหลายร้อยคนเลยทีเดียว
กัมมันตภาพรังสีมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมา จะปนเปื้อนสภาพแวดล้อมเป็นบริเวณกว้าง ก่อให้เกิดวิกฤตสุขภาพร้ายแรง ผู้คนเสี่ยงเป็นมะเร็ง พันธุกรรมเสียหาย ไม่ใช่แค่เพียงเมืองที่ถูกบอมบ์ แต่ขยายผลไปถึงระดับภูมิภาค
การใช้ระเบิดนิวเคลียร์แค่ 1% ของที่มีทั้งโลก จะแทรกแซงสภาพภูมิอากาศโลก และเสี่ยงทำให้ประชากรโลกราว 2 พันล้านคน ต้องอดอยากจากภัยแล้ง
ถึงวันนี้ ทุกชาติจะยังคงพูดถึงสันติภาพ แต่การแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์และความไม่แน่นอนยังเพิ่มขึ้น โลกจะเดินไปทางไหน ยังคงเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้ ณ ตอนนี้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
