SALEEส่งออกหนุน ขยายฐานลูกค้าจีน
ทันหุ้น – SALEE รับอานิสงส์ลูกค้ากลุ่มส่งออกโต หนุนสัดส่วนเพิ่มขึ้น 10-15% พร้อมเชื่อผ่อนคลายห้าง-ร้านอาหารกำลังซื้อผู้บริโภคฟื้น หนุนยอดขายโมเดิร์นเทรดพุ่ง ฟากผู้บริหาร “สุพจน์ สุนทรินคะ” ขอรักษาเป้าปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน 1.2 พันล้านบาท พร้อมวางกลยุทธ์คุมต้นทุนการผลิต รุกขยายฐานลูกค้าจีนกลุ่มการแพทย์
นายสุพจน์ สุนทรินคะ กรรมการเเละเลขานุการ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตชิ้นส่วนพลาสติกโดยกระบวนการขึ้นรูปพลาสติกและฉีดพลาสติก โดยมีบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจพิมพ์ฉลากสินค้าคุณภาพสูงและธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าพลาสติกประเภทของใช้ในครัวเรือน เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจสาลี่อุตสาหกรรม หรือบริษัทใหญ่ยังเติบโตได้ จากการเจาะฐานลูกค้าส่งออก
**รับอานิสงส์ส่งออก
ทั้งนี้บริษัทไม่ได้ส่งออกโดยตรง แต่จะได้อานิสงส์ทางอ้อมจากการที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปผลิต และส่งออกเอง ปัจจุบันสินค้าที่ส่งออกได้ดี คือกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องใช้ในครัวเรือน เบื้องต้นคาดลูกค้ากลุ่มส่งออกปีนี้จะเติบโตประมาณ 10-15%
ปัจจุบันบริษัทจะมีการขายในประเทศเกือบ 100% ซึ่งจะมีการขายไปต่างประเทศน้อยมาก โดยส่งไปที่ไปที่ประเทศจีนและกัมพูชาเป็นส่วนใหญ่ และบริษัทไม่มีการพึ่งพิงลูกค้ารายใดเกินกว่า 30%
ขณะที่ล่าสุด ภาครัฐประกาศผ่อนคลายห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร บริษัทยังคงติดตามสถานการณ์การจับจ่ายใช้สอย และจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างใกล้ชิด หากผู้บริโภคกล้าออกมาซื้อสินค้าด้วยตัวเอง คาดจะทำให้ช่องทางการขายสินค้าช่องทางโมเดิร์นเทรดมียอดฟื้นตัว โดยสินค้าที่ขายช่องทางโมเดิร์นเทรดคือสินค้าพลาสติก ประเภทของใช้ในครัวเรือน ดำเนินธุรกิจภายใต้ บริษัท เพชรสยาม (ประเทศไทย) จำกัด
**คุมต้นทุนการผลิต
ส่วนช่วงล็อกดาวน์ที่ผ่านมา บริษัทยอมรับยอดขายได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย ตามกำลังซื้อ และปิดบริการห้างสรรพสินค้าบางส่วน แต่ที่ผ่านมายังเห็นยอดขายช่องทางโมเดิร์นเทรดอยู่บ้าง แต่มีมูลค่าไม่สูง
ขณะเดียวกันทิศทางผลประกอบการครึ่งปีหลัง 2564 ยังคงประเมินยาก เนื่องจากต้องติดตามสถานการณ์ในประเทศรายวัน ทำให้บริษัทมองทิศทางผลประกอบการค่อนข้างยาก ในส่วนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทจะควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายให้รัดกุม และจะพยายามลดต้นทุนการผลิต พร้อมกับควบคุมของเสียการผลิตให้ลดลง อีกทั้งบริษัทขอรักษาฐานยอดขายปีนี้ให้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.2 พันล้านบาท อนึ่ง 6 เดือนแรกบริษัทมียอดขายแล้ว 636.39 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.71 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทจะยังขยายกลุ่มลูกค้า ไปสู่กลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ หรือกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต เช่น เครื่องมือการทำความสะอาด กลุ่มเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น
**ลูกค้าหลายอุตสาหกรรม
สำหรับสัดส่วนยอดขายปีนี้ คาดจะมาจากกลุ่มธุรกิจผลิตชิ้นส่วนพลาสติก ซึ่งดำเนินธุรกิจโดย บริษัทสาลี่อุตสาหกรรม ประมาณ 35-40% และธุรกิจผลิต จำหน่ายพลาสติกประเภทของใช้ในครัวเรือนผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด ซึ่งดำเนินธุรกิจโดยบริษัท เพชรสยาม (ประเทศไทย) จำกัด ประมาณ 30% และธุรกิจพิมพ์ฉลากสินค้า ซึ่งดำเนินธุรกิจโดย บริษัท สาลี่ พริ้นท์ติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SLP ประมาณ 30%
ด้านการแข่งขันผู้ประกอบการในประเทศ เนื่องจากธุรกิจชิ้นส่วนพลาสติกของบริษัท แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ธุรกิจการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกด้วยกระบวนการฉีด และธุรรกิจการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกด้วยกระบวนการขึ้นรูป ทำให้ธุรกิจทั้ง 2 ประเภทมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงตัวผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกัน
โดยกลุ่มลูกค้างานด้านฉีดพลาสติกจะมีความหลากหลายกว่า และกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมของใช้ในครัวเรือน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น ทำให้มีการกระจายความเสี่ยงในส่วนของกลุ่มลูกค้าที่มีความหลากหลาย ส่วนกลุ่มลูกค้าสำหรับงานด้านขึ้นรูปพลาสติก ส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เกือบท้ังหมด ทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องด้วยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีความผันผวนสูงและยังขึ้นนอยู่กับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป