ครูสาวรันทด หอบลูกหนีผัวติดยา นอนเพิงสังกะสี กินเศษข้าวที่เหลือจากเด็กๆ
สุดรันทด! ชีวิตครูสาวศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก หอบลูกหนีผัวติดยา อาศัยเพิงสังกะสีหลับนอน ต้องกินเศษข้าวที่เหลือจากเด็กๆ เร่เก็บขยะขายประทังชีวิต
เมื่อวันที่ 23 มี.ค.64 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านหัวฝาย ม.10 ต.ควร อ.ปง จ.พะเยา หลังมีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งมาว่า มีครูสาวท่านหนึ่งใช้ชีวิตสุดแสนรัดทด เสาร์-อาทิตย์ บางครั้งต้องเก็บขยะขายเพื่อประทังชีวิต และช่วงที่ทำงานอยู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนั้น หากหิวข้าวบางทีก็ต้องรอกินข้าวเหลือที่เด็กๆ กินจนอิ่มไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวได้พบกับ น.ส.นภัสกร ใจเย็น อายุ 39 ปี ครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ควร ครูสาวคนดังกล่าว น.ส.นภัสกร กล่าวว่า เดิมตนเป็นครูอัตราจ้างตั้งแต่ปี 2548 จนเพิ่งมาได้บรรจุตอนปี 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นบาท แต่ชีวิตกลับพลิกผัน โดยก่อนหน้านั้นตนสร้างบ้านอยู่กินกับแฟนเก่า และมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน ซึ่งตอนนี้เรียนอยู่ชั้นม.2แล้ว แต่แฟนของตนนั้นติดยาเสพติด บางครั้งทำร้ายตนเอง และถึงขั้นทุบตีลูกสาว จนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว
จนตนทนอยู่ไม่ได้จึงมาขออยู่กับพี่สาว ซึ่งทางครอบครัวของตนนั้น พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ตนยังเล็กๆ ส่วนแม่คือนางพรรณ สุริโย อายุ 68 ปี ยังอยู่กับตน แต่อยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง นอกจากนี้ ยังป่วยเป็นโรคปวดตามข้อ เดินก็ลำบาก ทั้งนี้ในช่วงเวลานั้นพี่สาวกำลังรื้อบ้านจึงนำแผ่นไม้ขนาดใหญ่ และสังกะสีมาทำเป็นกระต๊อบให้ตนอยู่อาศัยไปก่อน
ซึ่งบ้านที่พี่สาวสร้างขึ้นนั้นไม่มีประตูหน้าบ้าน โดยใช้เพียงผ้าผืนใหญ่ๆ ทำเป็นฉากกั้น ส่วนประตูมีแต่ประตูห้องนอน หลังคามุงสังกะสีที่รั่ว บางวันฝนตกตนก็ต้องหาภาชนะมารอง ล่าสุดตนนำผ้าเต็นท์มาขึงกันฝนหยดใส่ ในช่วงกลางคืนในบางวันก็มีคนมาเคาะประตูห้อง ตนหวาดกลัวจนนอนไม่หลับ ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนก็ไม่มีเงินซื้อพัดลมก็ได้ยืมพัดลมของชาวบ้านมาใช้ก่อน
น.ส.นภัสกร กล่าวว่า ทั้งนี้ไฟฟ้าที่ใช้นั้นก็ต่อจากบ้านพี่สาวมา หากวันไหนไฟดับ ก็จะไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นกัน ช่วงการทำงานนั้นตนทำงานอยู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่งในพื้นที่ของต.ควร ก่อนไปทำงานนั้นจะห่อข้าวให้ลูกสาวไปโรงเรียน ด้วยเหตุไม่มีเงินซื้อข้าวกินเหมือนอย่างคนอื่น ในช่วงพักกลางวันนั้นก็ไม่มีเงินติดตัวมาเหมือนเพื่อนร่วมงาน จนบางทีต้องแอบกินเศษข้าวที่เหลือจากเด็กๆ ที่กินอิ่มไปแล้ว
ทั้งนี้ตนไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวว่าจะมีคนรู้เรื่อง และนำไปฟ้องต่อผู้บังบัญชาในเรื่องของการแย่งข้าวเด็กกิน ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาที่แย่งข้าวเด็กกินแต่อย่างใด นอกจากนี้ ในช่วงเสาร์-อาทิตย์นั้น ตนมักจะเร่เก็บขยะของเก่าไปขายด้วย เพื่อประทังชีวิต
น.ส.นภัสกร กล่าวต่อว่า ครอบครัวที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ทั้งแม่ทั้งพี่สาว ก็ไม่ได้รวยหรือมีเงินเหมือนคนอื่น ซึ่งเงินเดือนที่ได้มานั้น ก็ต้องหักเป็นค่าเงินกู้สร้างบ้านหลังแรกจำนวน 16,000 บาท และต้องผ่อนรถจักรยานยนต์ของลูกสาวกับของแม่ที่เข้าไฟแนนซ์อยู่ จนไม่มีเงินเหลือเก็บหรือซื้อข้าวปลาอาหารเลี้ยงตัวเองกับลูกสาว
ส่วนบ้านที่สร้างนั้นตนไม่กล้าเข้าไปอยู่ เพราะกลัวว่าแฟนเก่าของตนกลับมาจากการบำบัดยาเสพติด แล้วจะกลับมาทำร้ายตนอีกหรือไม่ ส่วนลูกสาวนั้นบางวันก็นอนบ้านพี่สาว บางวันก็นอนบ้านแม่ของตน แต่ลูกสาวเป็นคนที่เรียนเก่งมาก และยังได้ทุนการศึกษาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ตนอยากได้เพียงบ้านหลังเล็กๆ ที่ตนกับลูกสาวพอที่จะอยู่ได้เท่านั้น
ด้านนายชูเกียรติ ไชลังกา อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้านหัวฝาย กล่าวว่า ตนและชาวบ้านเห็นใจครูท่านนี้เป็นอย่างมาก ด้วยครูท่านนี้มีจิตใจค่อนข้างเด็ดเดี่ยว มักไม่ค่อยจะบอกเรื่องราวที่ชีวิตรัดทดให้คนอื่นฟัง ตัวของครูท่านนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้จักนิสัยเป็นอย่างดี ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นเด็กที่เรียบร้อยอยู่คนหนึ่งด้วย ขยันขันแข็ง แต่อาจเพราะโชคชะตาที่ทำให้ครูท่านนี้ต้องมาเจอเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นได้ ก็ขออยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยเหลือครูท่านนี้
นายนายสุจินต์ คำหล้า นายก อบต.แห่งหนึ่ง กล่าวว่า หลังจากได้ทราบเรื่องราวชีวิตของน.ส.นภัสกร ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของครูท่านนี้ตนก็ไม่เคยทราบมาก่อน เพราะตัวของครูท่านนี้มักเก็บเงียบไม่ค่อยพูด
โดยส่วนตัวเป็นคนเงียบๆ อยู่แล้ว แต่ด้านการทำงานนั้นครูท่านนี้จริงจังกับการทำงานเป็นอย่างมาก และยังเป็นเด็กที่เรียบร้อยด้วย ทั้งนี้ตนจะเรียกครูท่านนี้มาถามไถ่ และจะให้การช่วยเหลือเป็นลำดับต่อไป