รีเซต

อลิอันซ์ นโยบายทรัมป์สั่นสะเทือน คาดไทยกระทบปานกลาง

อลิอันซ์ นโยบายทรัมป์สั่นสะเทือน คาดไทยกระทบปานกลาง
ทันหุ้น
21 เมษายน 2568 ( 18:41 )
15

#อลิอันซ์  #ทันหุ้น กลุ่มอลิอันซ์ เปิดเผยบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกหลังนโยบายทรัมป์ ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เข้มข้นขึ้น หลังจากสหรัฐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวาระที่สอง ประกาศใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) โดยตั้งเป้าเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงสุดถึง 130% ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1890


*ต้นทุนการค้าพุ่ง

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการค้าระหว่างประเทศพุ่งสูงขึ้นทันที โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิต และอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ สหรัฐ ยังส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการภาษีกับประเทศอื่นเพิ่มเติม เช่น กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และยุโรปตะวันออก นำไปสู่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่แผ่ขยายไปทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางและนักลงทุนต่างเริ่มประเมินความเสี่ยงใหม่อีกครั้ง


ประเทศไทยถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบในระดับปานกลางจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยมีการปรับลดคาดการณ์ GDP เหลือ 2.2% ในปี 2568 และ 2.1% ในปี 2569 จาก 2.5% ในปี 2567 โดยประเทศไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งจะมีแรงกดดันจากภาคการส่งออกและห่วงโซ่อุปทาน แม้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เหมือนบางประเทศในภูมิภาค แต่ก็ยังเผชิญกับผลกระทบทางอ้อมจากความไม่แน่นอนทางการค้า


ทั้งนี้ ธนาคารกลางมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ขณะที่การพึ่งพานโยบายภายในประเทศและการกระจายความเสี่ยงทางการค้าจะมีบทบาทสำคัญในการรองรับแรงสั่นสะเทือนจากภายนอกในระยะต่อไป


*GDPโลกต่ำสุดนับแต่โควิด

ผลกระทบจากสงครามการค้าครั้งนี้ทำให้องค์กรต่างๆ ลดการลงทุนและชะลอแผนขยายธุรกิจ โดยอัตราการเติบโตของ GDP โลกในปี 2568 คาดว่าจะชะลอลงเหลือเพียง 2.3% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านนโยบาย การชะลอตัวของการบริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว และความตึงเครียดที่ปะทุจากการตอบโต้เชิงนโยบายระหว่างประเทศ


นอกจากนี้ การใช้จ่ายผู้บริโภคในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ก็อยู่ในภาวะซบเซาจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงและค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น


ธนาคารกลางทั่วโลกจึงต้องดำเนินนโยบายด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลาย การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน และความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) มีแนวโน้มจะเป็นผู้นำในการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งช่วงปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569หากภาวะเงินเฟ้อเริ่มอ่อนตัวลง


ในทางกลับกัน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง ทั้งจากนโยบายการคลังของประเทศสมาชิก และต้นทุนทางการเมืองจากนโยบายรวมยุโรป ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) แม้จะเริ่มทยอยยุตินโยบายดอกเบี้ยติดลบแล้ว แต่ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไม่ให้กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินภายในประเทศ


ขณะที่เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วกำลังเผชิญความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ตลาดเกิดใหม่กลับได้รับแรงส่งบางประการจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะ เอเชียเกิดใหม่ (ไม่รวมจีน) ที่ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตโลก คาดว่าเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตได้ถึง 3.9% ในปี 2568 แม้การเติบโตอาจชะลอลงเล็กน้อย แต่กลุ่มประเทศอย่างอินเดีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ยังคงเติบโตเหนือค่าเฉลี่ยโลก โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ เงินเฟ้อที่ลดลง และทิศทางดอกเบี้ยขาลงที่เปิดช่องให้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนี้ การกระจายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน (China+1Strategy) ยังเอื้อให้ประเทศเหล่านี้กลายเป็นฐานการผลิตสำคัญในระดับภูมิภาค


*ย้ายฐานผลิต

ภาคธุรกิจทั่วโลกจึงต้องเร่งปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนภาษี โดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การนำเข้าสินค้าล่วงหน้า (frontloading) การเปลี่ยนแหล่งผลิต (relocation) และการปรับกลยุทธ์ราคาขาย โดยเฉพาะบริษัทสหรัฐฯ เช่น Costco ที่เพิ่มสินค้าคงคลังขึ้น 10% และ Williams-Sonoma เพิ่มขึ้น 6.9% เพื่อรองรับความต้องการล่วงหน้าในช่วง 6 เดือน นอกจากนี้ บริษัทจำนวนมากยังย้ายฐานการผลิตจากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เม็กซิโก และสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีโดยตรง พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มถูกกดดันจากความขัดแย้งทางการเมืองและนโยบาย

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง