How to… 9 วิธีคิดของคนที่อยากก้าวหน้าในชีวิต เมื่อชีวิตทุกคนเติบโตขึ้นมา ก็จะมีเส้นทางการทำงานหรือประกอบอาชีพที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องการ และอยากได้คือความก้าวหน้าในหน้าที่การงานหรือในชีวิต เพราะอะไรหรือ? แน่นอนความก้าวหน้าคือบันไดที่จะทำให้เรานั้นมีความมั่นคงในชีวิต สิ่งที่ตามมาคือทรัพย์สิน เงินทอง มีหน้ามีตาในสังคม แล้วอะไรล่ะ ที่จะช่วยให้เราก้าวหน้าในชีวิตได้ 1. รักในอาชีพของตนพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับอาชีพที่ตนเองรัก เพราะการที่เรามีความรักในอาชีพนั้นแล้ว เมื่อได้ลงมือทำก็มีความสุข ผลลัพธ์ที่ได้คือผลงานออกมาดี ขอยกตัวอย่างเช่น แม่ค้าที่ทำอาหารขายถ้าหากมีใจรักในอาชีพแม่ค้าแล้ว อีกทั้งยังทำอาหารอร่อย ผลลัพธ์คือขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลยทีเดียว เพราะลูกค้าติดใจในรสชาติและบริการที่เป็นกันเอง แต่บางครั้งถึงแม้ว่าจะได้รับคำติชมในเรื่องของอาหารอยู่บ้าง แต่แม้ค้าก็ยอมรับและพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นอยู่เสมอ เพราะทุกอาชีพย่อมมีปัญหาและอุปสรรค และผู้เขียนเองจึงขอยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ ซึ่งเป็นบุคคลที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือเป็นอย่างมาก ท่านผู้นี้มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กรที่ปฏิบัติงานอยู่ด้วย ตัวอย่างที่ข้าพเจ้าซึมซับจากท่านอยู่ข้อหนึ่งก็คือ ความที่ท่านรักงานที่รับผิดชอบอยู่ด้วยจิตและวิญญาน คือยอมเสียสละเวลาเช่นเมื่อเวลางานมีปัญหาก็จะเห็นท่านทุ่มเทอย่างมาก เพื่อจะแก้ปัญหาให้สำเร็จและผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ และไม่เคยเห็นท่านย่อท้อสักครั้ง แต่เมื่อท่านเห็นผู้ใต้บังคับชาเกิดความท้อแท้ท่านจะรีบให้กำลังใจขึ้นมาทันที และจะบอกกับทุกคนว่างานที่เราทำอยู่นี้มีความสำคัญมากนะ หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะเกิดความเสียหายกับลูกค้าได้ เมื่อฟังแล้วจึงเกิดความรักในอาชีพ และไม่อยากให้เกิดความเสียหายเวลาปฏิบัติจึงทำด้วยความระมัดระวังและเอาใจใส่เป็นอย่างดีค่ะ ทีนี้พอทุกคนทำงานด้วยความรักและเอาใจใส่ ผลงานก็ออกมาดี และไม่มีความผิดพลาดไปถึงลูกค้านั่นเองค่ะ 2. ไม่จำเป็นต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ หรือทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้ว ต้องรู้จักพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เพราะการที่เราปฏิเสธที่จะหาความรู้เพิ่มเติมอยู่นั้นเราก็จะเสียโอกาสใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตได้ เช่นเมื่อเราเก่งภาษาอังกฤษแล้ว เราก็สมารถที่จะเรียนรู้ภาษาอื่นเพิ่มขึ้นได้เช่น ภาษาญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เพราะโอกาสจะมาหาคนที่มีความพร้อมแล้วเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันอีกคนที่ไม่เปิดโอกาสให้กับตนเองในการเรียนรู้เพิ่มเติมเลย หรือเมื่อมีคนบอกกล่าวหรือให้ความรู้ก็จะไม่รับฟัง และคิดเข้าข้างตนเองว่าความรู้ของตนนั้นมีมากเพียงพอแล้วไม่มีความผิดพลาด ซึ่งในบางครั้งต้องเปิดใจรับฟังหากข้อมูลนั้นหากเป็นข้อมูลที่ดีเพราะอาจจะมีประโยชน์กับงานเราก็ได้ แต่ถ้าไม่รับฟังใครเลยในลักษณะแบบนี้ก็จะทำให้ไม่สามารถที่ก้าวหน้าหรือพัฒนาไปต่อได้ค่ะ ขอยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จในองค์กรที่ข้าพเจ้าปฏิบัติงานด้วยนะคะ จะเห็นท่านอ่านหนังสืออยู่บ่อยครั้ง และท่านมักจะชอบสนทนากับพนักงานทุกระดับเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้โดยไม่มีถือตัว และจะบอกว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่เคยรู้มาก่อน เมื่อได้ฟังถึงได้มีความรู้เพิ่มขึ้นมา เห็นไหมว่าเราทุกคน ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องแต่เราสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมหรือแลกเปลี่ยนกันได้ค่ะ 3. ทำให้เต็มที่แต่อย่าฝืนตัวเองจนเกินไป ต้องรู้จักยืดหยุ่นไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกินไป เช่น บางคนเมื่อได้ทุ่มเทให้กับหน้าที่การงานแล้วก็ทำแบบขยันขันแข็งมาก แต่ก็ทำแบบไม่รู้จักพักและไม่ค่อยดูแลตัวเอง ผลที่ตามมาคือทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ง่ายเช่นเป็นอาชีพนักร้อง ใน 1 วันรับงานร้องเพลง 7-8 งานแทบไม่เคยได้หยุดพักเลยทำแบบนี้มาประมาณ 5 ปี เมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปีปรากฏว่าเป็นโรคร้าย ดังนั้นเราต้องรู้จักรับงานให้พอดีและไม่ฝืนตัวเองในกรณีที่ร่างกายอ่อนล้า เพราะจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพของตนเองได้ค่ะ และขอยกตัวอย่างจากผู้ที่ข้าพเจ้าให้ความนับถือท่านเดิมค่ะ จากกรณีที่เป็นคนที่ชอบทุ่มเทให้กับงานในกรณีงานมีปัญหาท่านก็ไม่ค่อยได้ทานข้าวตรงเวลา ผลก็คือทำให้ท่านมักจะปวดท้องอยู่เสมอ เมื่อทานข้าวไปแล้วจะมีอาการจุกท้อง คล้าย ๆ เป็นโรคกระเพาะ และเหตุนี้เองจึงได้นำมาเตือนกับทุกคนว่ารักในงานได้รักในอาชีพได้ แต่ก็ต้องรักตนเองด้วยนะคะ 4. มีความคิดสร้างสรรค์กับงานที่ทำอยู่เสมอพยายามทำให้งานที่ทำอยู่พัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่น ร้านอาหารทั่วไปที่เปิดในปัจจุบัน ถ้ามัวแต่ขายอาหารเดิม ๆ รูปแบบเดิม ๆ ก็อาจจะมีลูกค้าน้อยลง เพราะ ซึ่งในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้การขายง่ายขึ้นเช่น ขายใน App Delivery ต่าง ๆ หรือจะพัฒนาในตัวผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ดึงดูดใจอยู่เสมอเช่น ขนมไทยเมื่อก่อนเวลาขายให้ลูกค้า อาจจะตักใส่ถุงแล้วขายให้ลูกค้าเลย แต่เปลี่ยนจากถุงเป็นใส่กล่องบรรจุอาหารสวย และรูปลักษณ์ขนมอาจทำให้เล็กลง พอดีคำทานได้ง่ายขึ้นแต่ยังมีรสชาติอร่อยเหมือนเดิม หรือขอยกตัวอย่างในองค์กรที่ข้าพเจ้าปฏิบัติงานค่ะ ความคิดสร้างสรรค์คือมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยทำให้ทำงานง่ายขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเมื่อก่อนเมื่อเราทำงานก็จะทำการ Key ข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของลูกค้าเข้าไปคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อได้ทำเทคโนโลยีเครื่องScanเข้ามาช่วยหน้าที่ของตัวนี้คือสามารถScanไปที่Orderของลูกค้าและข้อมูลรายละเอียดก็จะถูกดึงเข้าไปที่ระบบ ซึ่งผลคือทำให้ทำงานง่ายและสะดวกรวดเร็วขึ้นด้วยค่ะ 5. รู้จักบริหารเวลาการทำงานและชีวิตส่วนตัวให้มีความสมดุลหลายคนทำงานหามรุ่งหามค่ำ ผลคือร่างกายทรุดโทรมและเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นแบ่งเวลาพักผ่อนและออกกำลังกายทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะช่วยให้เรากลับมามีพลังงานที่เต็มที่เหมือนเดิมได้ เช่น พนักงานทั่วไปที่ทำงานแต่เช้ากลับมาอีกทีเย็นเลย เทคนิคคือให้หาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที และควรทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างน้อง 1 มื้อต่อวัน และวันหยุดควรไปพักผ่อนหรือทำในสิ่งที่ตัวเองโปรดปรานบ้างเช่น อ่านหนังสือดูหนัง ฟังเพลง เป็นต้น ซึ่งการทำในลักษณะนี้จะทำให้เรามีพลังที่จะกลับไปทำงานต่อแล้วค่ะ เมื่อข้าพเจ้าได้ลองทำดูแล้วบอกเลยว่าไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไป เพราะทำตอนแรกจะฝืนตนเองบ่อยมาก เช่นเรื่องการออกกำลังกายผู้เขียนมักจะโกหกตัวเองอยู่เสมอว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยออกกำลังกายวันนี้ขอพักผ่อนก่อน ทีนี้ผลคือเมื่อเราทำงานทุกวันนานเข้าร่างกายจะอ่อนเพลียง่ายมากคือไม่ค่อยอยากตื่นไปทำงานด้วยเหตุนี้จึงเปลี่ยนตัวเองใหม่คือ หันมาออกกำลังกายหลังเลิกงานทุกวันวันละ 30 นาทีค่ะ การออกกำลังกายก็เอาแบบง่าย ๆ ตามที่เราถนัด เข่น ข้าพเจ้าชอบเดินออกกำลังกาย หลังจากนั้นร่างกายจะมีความสดชื่นขึ้นและไม่ค่อยมีความอ่อนเพลียได้ง่าย ดูได้จากการเดินขึ้นลงบันไดก็ได้ค่ะ เห็นไหมคะว่าถ้าเรารู้จักแบ่งเวลาออกกำลังกายเพียงวันละ 30 นาที ก็มีประโยชน์กับเรามากเลยค่ะ 6. มีความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ การมีนิสัยอ่อนน้อมจะทำให้เข้ากับคนได้ง่ายผู้ใหญ่รักและเอ็นดู ใครใครก็อยากคบหาสมาคมด้วยทำอะไรก็ง่ายเพราะมีคนคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ เช่น ถ้าเราไปห้างสรรพสินค้าแล้วมีพนักงานขายเข้ามาทักทายด้วยถ้อยคำที่สุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน เราก็อยากจะสนับสนุนซื้อสินค้าของพนักงานขายคนนั้น หรือถ้าเป็นพนักงานโดยทั่วไปในองค์กรต่าง ๆ ถ้าอยากมีความก้าวหน้าแล้ว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือความอ่อนน้อมถ่อมตน เช่น ทักทายเพื่อน ๆ อยู่เสมอไม่หยิ่งยโสมีความสุภาพมีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนต่างแผนกด้วยความจริงใจซึ่งเพื่อนของเราเองนี้แหละที่จะเป็นกองเชียร์คอยผลักดันหรือสนับสนุนให้เรามีความก้าวหน้าในอาชีพ แต่ต้องแสดงออกมาด้วยจริงใจและปรารถนาดีจากใจเท่านั้นนะคะ ขอยกตัวอย่างของบุคคลใกล้ตัวนะคะ ซึ่งเป็นบุคคลที่น่ารักท่านหนึ่งซึ่งลักษณะของเขาก็คือมีน้ำใจกับทุกคน มีความสุภาพอ่อนน้อมกับผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เสมอเช่นเวลาเห็นเพื่อนยกของหนัก เขาจะรีบวิ่งไปช่วยด้วยความเต็มใจอยู่เสมอและเห็นทำแบบนี้อยู่ประจำสม่ำเสมอ อยู่มาวันหนึ่งงานที่ตนเองทำอยู่ดันมีปัญหาและ ทำคนเดียวไม่ทันผลคือทุกคนที่เป็นในแผนกหรือต่างแผนกต่างมารุมช่วยงานที่เขาเจอปัญหาจนสำเร็จลุล่วงและทุกคนที่มาช่วย ช่วยด้วยความเต็มอกเต็มใจทุกคนค่ะ 7. มีความกตัญญูต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณอยู่เสมอซึ่งความกตัญญูคือแสดงการขอบคุณต่อบุคคลที่ให้ชีวิต และให้ความรู้ โอกาสกับเราขอบคุณทุกสิ่งรอบตัวเราอยู่เสมอ จะได้ส่งเสริมให้เรามีพลังงานบวกและเป็นคนอารมณ์ดีอยู่เสมอ ส่งผลให้สุขภาพดีตามมาด้วย ความกตัญญูนี้เป็นสิ่งที่ใครหลายคนอาจมองข้ามไปเช่น คนที่มีอาชีพการงานที่มั่นคงและเป็นที่มีชื่อเสียง ทุกคนรู้จักกันอย่างล้นหลาม แต่ไม่เคยกลับไปดูแลหรือส่งเงินให้กับพ่อแม่หรือผู้อุปการะคุณเลย อยู่มาวันหนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้เทคโนโลยีรวดเร็วมากก็มีข้อมูลรั่วไหลออกมาจึงทำให้บุคคลนี้เสียชื่อเสียงและทำให้ตกงานไปเลย เนื่องจากไม่มีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณนั่นเองค่ะ ขอยกตัวอย่างเช่นบุคคลใกล้ตัวข้าพเจ้าก็แล้วกันนะคะ ท่านผู้นี้มีความกตัญญูมากเลยค่ะซึ่งท่านจะหมั่นกลับบ้านเพื่อไปดูแลพ่อแม่ที่อยุ่ต่างจังหวัดอยู่เป็นประจำ และจะซื้อของติดไม้ติดมือเพื่อไปฝากลุงป้าข้างบ้านทุกครั้งค่ะ ก่อนกลับมาทำงานท่านก็มักจะได้รับคำอวยพรจากพ่อแม่และญาติพี่น้องหรือแม้กระทั่งเพื่อนข้างบ้านอยู่เสมอว่าให้มีความสุขและมีความเจริญนะ สิ่งนี้เองเรียกว่าความสุขหรือความอิ่มเอิบใจของผู้ให้จากความกตัญญูนั่นเองค่ะ 8. สร้างแรงจูงใจให้ตนเองอยู่เสมอ เช่น พนักงานขายรถยนต์ ที่ขาดแรงจูงใจในการทำงาน เพราะเขามีความรู้สึกว่าขายได้เยอะเงินเดือนก็ไม่เพิ่ม แต่อยู่มาวันหนึ่งพนักงานขายรถยนต์ เกิดอยากได้รางวัลจากประธานบริษัท และสิ่งนี้เองเป็นแรงจูงใจที่ทำให้พนักงานมีความขยัน กระตือรือร้น ทุ่มเทและทำงานสำเร็จ จากที่ตนเองไม่กล้าที่จะเข้าไปเสนอขายรถยนต์ตามตามหมู่บ้าน แต่เมื่ออยากได้รางวัลก็สามารถทำได้ จนสามารถได้รับรางวัลจากประธานบริษัท นอกจากนี้ยังได้เลื่อนตำแหน่งงานอีกด้วย ซึ่งการสร้างแรงจูงใจนี้เริ่มจากทำสิ่งเล็ก ๆ ก่อนก็ได้ค่ะ เช่น วันนี้จะอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น 10 หน้า ซึ่งจากเดิมอ่านเพียง 5 หน้า ซึ่งแรงจูงใจคืออยากเปลี่ยนตัวเองเพื่ออยากให้มีความรู้เพิ่มขึ้นค่ะ 9. หมั่นศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ เพราะความรู้จะทำให้เรามีวิสัยทัศน์ที่กว้าง และสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนได้ และจะไม่โดนหลอกได้ง่าย เนื่องจาก ปัจจุบันเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก เช่น ถ้าเราไม่เคยศึกษาว่าในยุคปัจจุบันในเรื่องของการโอนเงิน เราไม่จำเป็นต้องโอนที่หน้าตู้ ATM อย่างเดียวก็ได้ แต่มี App ของธนาคารต่าง ๆ ที่โหลดเข้าเครื่องโทรศัพท์ จึงทำให้เรามีความสะดวกสบายมากขึ้น และไม่เสียเวลาในการเดินหาตู้ ATM หรือเทคโนโลยีด้านรถยนต์ ที่ปัจจุบันนี้มีรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแทนน้ำมัน เป็นต้น สุดท้ายนี้การที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผู้เขียนเชื่อว่าคงไม่ยากเกินกว่าที่จะทำมันให้สำเร็จ ผู้เขียนหวังว่าแนวคิดดี ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จกันทุกคนนะคะเครดิตภาพปก โดย Ales Krivec / Pixabay ภาพที่1 โดย Gerd Altmann / Pixabay ภาพที่2 โดย StartupStockPhoto / Pixabay ภาพที่3 โดย / Congerdesign / Pixabayภาพที่4 โดย Sofia Cristina Cordova Valladares โดย / Pixabay ภาพที่5 โดย Photo Mix / Pixabay ภาพที่6 โดย Ha Cao / Pixabay ภาพที่7 โดย Werner Heiber / Pixabayภาพที่8 โดย Vania Raposo / Pixabayภาพที่9 โดย Simon / Pixabayภาพที่10 โดย fancycrave1 / Pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !