IRPC กำไร Q2/65 ที่ 3,833.04 ลบ. ลดลง 16% คาดราคาน้ำมัน Q3/65 ทรงตัวระดับสูง
#IRPC #ทันหุ้น-บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด(มหาชน) หรือ IRPC แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ไตรมาส 2/65 มีกำไร 3,833.04 ล้านบาท ลดลง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 4,574.16 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายสุทธิ 99,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42,537 ล้านบาท หรือ 75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 72% ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 3% โดยโรงกลั่นน้ำมันมีอัตราการกลั่นอยู่ที่ 198,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 2% Market GIM เพิ่มขึ้น 3,835 ล้านบาท หรือ 44% โดยมีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินปรับตัวดีขึ้น
บริษัทมีขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิรวม 1,298 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/64 ที่มีกำไรสต็อกน้ำมันสุทธิ 3,507 ล้านบาท ส่งผลให้ Accounting GIM ลดลง 970 ล้านบาท หรือลดลง 8% ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง 416 ล้านบาท หรือลดลง 12% ส่งผลให้ EBITDA ลดลง 874 ล้านบาท หรือลดลง 10%
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/65 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ 99,395 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22,787 ล้านบาท หรือ 30% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน จากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 26% ตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 4% โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 12,562 ล้านบาท (20.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้น 8,457 ล้านบาท หรือ 206% มีสาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ต้นทุนราคาน้ำมันดิบ (Crude Premium) ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 11,264 ล้านบาท หรือ 18.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 3,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65
สำหรับผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2565 IRPC มีรายได้จากการขายสุทธิจำนวน 176,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และปริมาณขายเพิ่มขึ้น 2% โดย มี Market GIM อยู่ที่ 16,667 ล้านบาท (13.85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้น 6% เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ทั้งน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ต้นทุน ราคาน้ำมันดิบ (Crude Premium) ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมี Accounting GIM จำนวน 21,155 ล้านบาท หรือ 17.58 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ลดลง 3,046 ล้านบาท หรือลดลง 5.14 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ผลการดำเนินงาน งวด 6 เดือนแรกปี 2565 มีกำไรสุทธิ 5,334 ล้านบาท ลดลง 47% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/65 สะท้อนให้เห็นถึงผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการรับผิดชอบ ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามวิสัยทัศน์ และแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจของบริษัทฯ เช่น การร่วมลงนามสัญญาการผลิตก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนกับบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ BIG เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงการยูโร 5 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM 2.5 ความร่วมมือเพื่อศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์จากพลาสติกในกลุ่มวัสดุสิ้นเปลือง ระหว่าง IRPC – INNOBIC และบมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก การลงนามข้อตกลงกับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงการเปิดศูนย์เรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงเกษตรผสมผสานสวนยายดา "เจ๊บุญชื่น" IRPC Smart Farming จ.ระยอง โดยบูรณาการนวัตกรรมขององค์กรผสานเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้บริการคลินิกหมอดิน นวัตกรรมปุ๋ยซิงค์ออกไซด์ นาโน หรือ “ปุ๋ยหมีขาว” และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด “โซลาร์ลอยน้ำ” ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรจังหวัดระยอง และเกษตรกรทั่วประเทศ
แนวโน้มภาวะตลาดน้ำมันดิบในไตรมาส 3 คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบดูไบจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทั้งนี้ แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นยังคงมีความผันผวน จากสภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ในส่วนแนวโน้มภาวะตลาดปิโตรเคมีในไตรมาส 3 คาดว่าความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะปรับตัวดีขึ้น ความต้องการสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่คาดว่าจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากเข้าสู่ช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสและ ปีใหม่ อย่างไรก็ตาม กำลังการผลิตใหม่จากจีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจำนวนมาก และโรงงานปิโตรเคมีในมาเลเซียที่คาดว่า จะเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงครึ่งปีหลัง จะทำให้อุปทานมีแนวโน้มปรับเพิ่มสูงขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการร่วมมือกับคู่ค้า ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนการบริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาล ซึ่งการดำเนินงานในครึ่งแรกของปีนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยืนยันได้จากการได้รับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2022 หรือ AREA 2022 ในสาขา Health Promotion ภายใต้ชื่อ โครงการ VAJIRA LAB: Healthcare Security for Society (วชิรแล็บเพื่อสังคม) ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทฯ ร่วมกับ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัย นวมินทราธิราช ดำเนินการศึกษา และจัดตั้งห้องปฏิบัติการกลางเพื่อตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ครบวงจรแห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนที่สร้างการเติบโต ควบคู่กับการสร้างสมดุลให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อไป