รีเซต

SCGP ซื้อหุ้น Fajar เพิ่ม 44.48% โบรกฯ มองเติบโตในระยะยาว

SCGP ซื้อหุ้น Fajar เพิ่ม 44.48%  โบรกฯ มองเติบโตในระยะยาว
ทันหุ้น
3 กันยายน 2567 ( 12:20 )
57

#ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส ออกบทวิเคราะห์ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ซื้อหุ้น Fajar เพิ่มอีก 44.48% ในราคา USD652 ล้าน โดยผลขาดทุนจาก Fajar และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นน่าจะกดดันกำไร Q4/67 ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรและลดราคาเป้าหมายเป็น 39 บาท (DCF, 1 1.0% WACC, 3.0% LTG) ในขณะที่คงคำแนะนำซื้อ

 

 

SCGP ซื้อหุ้น Fajar เพิ่มในราคา USD652 ล้าน

 

SCGP รายงาน SET อย่างเป็นทางการว่าบริษัทฯ จะซื้อหุ้น Fajar (บริษัทผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์สัญชาติอินโดนีเซีย) เพิ่มอีก 44.48% จาก PT Intercipta Sempana (PTICS) ในราคา USD652 ล้าน (ประมาณ 23พัน ลบ.) หลังการซื้อดังกล่าว SCGP จะถือหุ้น 99.72% ใน Fajar และจะเริ่มรวมงบการเงินของบริษัทดังกล่าวนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2567 เป็นต้นไป การซื้อดังกล่าวเป็นไปตามกำหนด ทั้งนี้แหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดภายในประมาณ 8 พัน ลบ. และเงินกู้อีก 15 พันลบ. พร้อมต้นทุนเงินกู้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3% 

 

อินโดนีเซียเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมายกระดาษบรรจุภัณฑ์

 

อินโดนีเซียเป็นตลาดเป้าหมายสำหรับกระดาษบรรจุภัณฑ์เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก โดยเฉพาะประชากรที่มีอายุน้อยโดยได้ปัจจัยหนุนจากการบริโภคในประเทศและเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น SCGP เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียในปี 2556 และซื้อหุ้น 55.2% จาก Fajar ในเดือน ก.ค. 2562 Fajar เป็นผู้นำในตลาดกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียด้วยส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ในอุตสาหกรรม Containerboard ของอินโดนีเซีย Fajar รายงานผลขาดทุนมาตั้งแต่ Q4/65 จากอุปสงค์ในตลาดส่งออกที่อ่อนแอ (ส่วนมากไปยังจีน) ปัญหาอุปทานเกินดุลของผลิตภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียและแรงกดดันในด้านต้นทุนวัตถุดิบ

 

ปรับลดประมาณการกำไรจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น 

แม้ว่าผลขาดทุนจะลดลงใน Q1/67 ตัวเลขอาจเพิ่มขึ้นในปี 2567 จากปัญหาค่าเงินรูปียะฮ์ที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ผู้บริหารของ SCGP ตั้งเป้าให้การดำเนินงานของ Fajar เท่าทุนในระดับ EBITDA ภายในสิ้นปี 2567 อย่างไรก็ดีฝ่ายวิจัยเชื่อว่าเป้าดังกล่าวมีความท้าทาย ปรับลดประมาณการกำไรลง 1%/6%/4% ในปี 2567-69 ส่วนมากจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

 

คงคำแนะนำซื้อจากแนวโน้มการเติบโตระยะยาว

 

หลังการปรับประมาณการกำไรของฝ่าวิจัย คาดว่ากำไรในช่วงปี 2567-69 จะยังโตในอัตราสองหลัก ทั้งนี้ คาดว่ากำไรในช่วงปี 2567-69 จะโต 15%/12%/11% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 11% CAGR โดยปรับลดราคาเป้าหมายของฝ่ายวิจัยเป็น 39 บาท (DCF, 11.0% WACC, 3.0% LTG) จาก 43 บาท และคงคำแนะนำซื้อจากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว ปัจจุบันหุ้นมีการซื้อขายที่เพียง 8.2X 2567E EV/EBITDA เทียบเท่า -1.5SD ของค่าเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลัง

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง