ปิดฉากรัฐบาล “อนุทิน” ยุบสภา รีเซ็ตเกมการเมืองไทยรอบใหม่

การเมืองไทยหลัง ‘อนุทิน’ ตัดสินใจยุบสภา

การตัดสินใจยุบสภาของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล นับเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่บนเวทีการเมืองไทยรอบใหม่ เพราะไม่ใช่เพียงการกลับไปสู่การเลือกตั้งเท่านั้น แต่สะท้อนแรงกดดันที่สะสมอยู่ทั้งภายในรัฐบาลและจากสังคม โดยเฉพาะความคาดหวังต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจและความขัดแย้งภายในฝ่ายบริหารเอง

ประเด็นแรก คือความแตกแยกภายในรัฐบาลผสม

แม้โมเดลการเมือง “สมานฉันท์–ประนีประนอม” แบบ MOA จะช่วยประคองรัฐบาลในช่วงแรก แต่ในทางปฏิบัติ กลไกแบ่งอำนาจกลับสร้างความไม่ลงรอยระหว่างพรรคใหญ่ ทั้งเพื่อไทย พรรคประชาชน และภูมิใจไทย ความขัดแย้งเชิงนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง โครงการกระตุ้นรายได้ และตำแหน่งรัฐมนตรีด้านศก. ทำให้การเจรจาภายในเริ่มถึงทางตัน การยุบสภาจึงเป็นทางเลือกที่รวดเร็วกว่าเพื่อฟื้นความชอบธรรมผ่านประชาชน

ประเด็นที่สอง คือผลสะเทือนต่อพรรคการเมืองหลัก

หลังประกาศยุบสภา ทุกพรรคเข้าสู่โหมด “รีเซ็ตพลัง” แบบฉับพลัน พรรคเพื่อไทยต้องพิสูจน์ว่าจะกลับมายืนเป็นแกนนำหรือถูกพรรคประชาชนเบียดขึ้นมาแทน ขณะที่ภูมิใจไทยของอนุทินต้องตอบคำถามจากสังคมว่าเหตุใดรัฐบาลที่เขานำถึงไปต่อไม่ได้

ประเด็นที่สาม คืออารมณ์สังคมที่เปลี่ยนเร็วมาก

การเมืองรอบนี้ไม่ใช่แค่แข่งขันนโยบาย แต่เป็นศึกความเชื่อมั่นต่อผู้บริหารประเทศ คนรุ่นใหม่มองหาผู้นำที่ทำงานไว ชัดเจน และกล้าตัดสินใจ ส่วนกลุ่มคนทำงานและภาคธุรกิจจับตาเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจเป็นหลัก ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการความนิ่งหลังเศรษฐกิจผันผวนหลายไตรมาสติดกัน การเลือกตั้งครั้งนี้จึงกลายเป็น “ศึกรีเซ็ตความเชื่อมั่น” มากกว่าเป็นการตัดสินแพ้ชนะแบบขั้วการเมืองเก่า

ประเด็นสุดท้าย คือผลต่ออนุทินเอง

การยุบสภาถูกมองได้ทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งคือการยอมรับว่ากลไกบริหารเริ่มตัน แต่อีกด้านหนึ่งคือการเดินเกมวัดใจ เพราะอนุทินเชื่อว่าฐานเสียงภูมิใจไทยในต่างจังหวัดยังแข็งแรงพอให้เขากลับมาในสถานะที่ต่อรองได้มากขึ้น ท่าทีหลังยุบสภา—ที่เขาเน้นคำว่า “ให้ประชาชนตัดสิน”—สะท้อนยุทธศาสตร์วางตัวกลาง หลีกเส้นปะทะรุนแรง และหวังเก็บคะแนนจากกลุ่มที่เบื่อความขัดแย้งเดิมๆ

ดังนั้นเมื่อมองการเมืองหลังการยุบสภา การเมืองไทยกำลังก้าวสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี เพราะไม่ใช่แค่การเลือกตั้งใหม่ แต่เป็นการรีเซ็ตความเชื่อมั่นระดับประเทศ ทุกพรรคต้องเร่งวางเกมใหม่นับจากวันนี้ และคะแนนเสียงครั้งนี้จะกำหนดไม่เพียงอนาคตของอนุทิน แต่ทิศทางการเมืองไทยทั้งระบบ