คุณเคยถามตัวเองไหมครับ... ว่าถ้าเรารู้วันตายที่แน่นอนของตัวเอง เราจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร? ผมถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำๆ หลังจากที่ได้ดูเทรลเลอร์ของเกมที่ชื่อว่า Clair Obscur Expedition 33 จบลง มันไม่ใช่ความรู้สึกฟูฟ่องตื่นเต้นเหมือนตอนเห็นเกมแอคชันฟอร์มยักษ์ แต่มันเป็นความรู้สึกที่หนักอึ้ง จุกอยู่ในอก แต่ในขณะเดียวกันก็งดงามอย่างประหลาด ราวกับกำลังยืนชมภาพวาดโศกนาฏกรรมชิ้นเอกที่ถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นมา ในฐานะคนที่เสพเกม RPG มาทั้งชีวิต ผมเห็นมาแล้วแทบทุกพล็อตเรื่อง ผู้กล้ากอบกู้โลก, การล้างแค้น, การเดินทางค้นหาตัวตน... แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมรู้สึกว่า "ความตาย" มันอยู่ใกล้ตัวและจับต้องได้เท่านี้มาก่อน นี่ไม่ใช่แค่การรีวิวสิ่งที่ผมเห็น แต่มันคือการพยายามปะติดปะต่อความรู้สึกและจิตวิญญาณของเกมที่ผมเชื่อว่า... มันอาจจะกลายเป็นหนึ่งในตำนานบทใหม่ของวงการเกม RPG ก็เป็นได้ เกมเพลย์เมื่อกลยุทธ์ของ Turn-Based โคจรมาพบกับปฏิกิริยาของ Real-Time สิ่งแรกที่ทำให้ผมรู้สึกถูกใจกับเกมนี้มากที่สุดก็คือระบบการต่อสู้ของมันครับ แวบแรกที่เห็น UI ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับแถบคำสั่ง Attack, Skills, Items... ในหัวผมคิดทันที "โอเค มันคือเกม Turn-Based RPG" ซึ่งผมก็รักมันอยู่แล้ว แต่แล้ว... เกมก็ทำให้ผมต้องประหลาดใจ นี่ไม่ใช่การต่อสู้แบบผลัดกันตียืนนิ่งๆ แบบที่เราคุ้นเคยครับ จากสิ่งที่ผมเห็นในเทรลเลอร์ มันคือการหลอมรวมที่น่าทึ่งระหว่างการวางแผนแบบเทิร์นเบส เข้ากับการกระทำที่ต้องใช้ปฏิกิริยาแบบเรียลไทม์ ลองจินตนาการตามผมนะครับ... ในเทิร์นของคุณ คุณเลือกใช้สกิลยิงธนูใส่ศัตรูที่อยู่ไกลออกไป แต่แทนที่เกมจะตัดเข้าคัตซีนแล้วบอกผลลัพธ์ ตัวเกมกลับมอบการควบคุมให้คุณ! คุณต้องเล็งเป้าไปที่จุดอ่อนของศัตรูด้วยตัวเองในชั่วพริบตาเพื่อสร้างความเสียหายสูงสุด หรือในเทิร์นของศัตรู เมื่อมันกำลังจะฟาดดาบลงมา คุณไม่ได้ทำได้แค่ก้มหน้ารับดาเมจ แต่คุณสามารถกดปุ่มป้องกันให้ถูกจังหวะเพื่อ "ปัดป้อง" (Parry) การโจมตีนั้นได้ หรือแม้กระทั่งหลบหลีก (Dodge) ออกมาอย่างสวยงาม หัวใจผมพองโตทันทีที่เห็นระบบนี้ครับ! มันคือสิ่งที่ผมโหยหามาตลอด มันคือการแก้ปัญหาความ "น่าเบื่อ" ของเกมเทิร์นเบสที่บางคนรู้สึก มันเปลี่ยนผู้เล่นจากแค่ "ผู้ออกคำสั่ง" ให้กลายเป็น "ผู้กระทำ" อย่างเต็มตัว ทุกการโจมตี ทุกการป้องกัน มันจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าสเตตัสเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่มันขึ้นอยู่กับ "ฝีมือ" และ "สมาธิ" ของเราด้วย ผมนึกภาพออกเลยว่าการต่อสู้กับบอสแต่ละครั้งมันจะตึงเครียดและน่าตื่นเต้นขนาดไหน มันคือการผสมผสานระหว่างสมองของนักวางแผน กับปฏิกิริยาของนักตอบโต้กลับคืน... และนี่คือวิวัฒนาการที่วงการเกมเทิร์นเบสต้องการ ความรู้สึกในขณะเล่น คณะเดินทางแดนประหาร และเสียงสะท้อนของเวลาที่เหลือน้อยลง ถ้าเกมเพลย์คือสิ่งที่ทำให้ผมทึ่ง เรื่องราวและแก่นของมันคือสิ่งที่ทำให้ผม "จมดิ่ง" ครับ ลองนึกภาพโลกที่ถูกสาปโดย "เพนเทรส" (Paintress) หญิงลึกลับที่ในทุกๆ ปี เธอจะวาดตัวเลขขึ้นบนเสาหินศักดิ์สิทธิ์ ตัวเลขนั้นคือ "อายุ" และใครก็ตามที่ถึงวัยนั้นในปีดังกล่าว... จะต้องสลายหายไป กลายเป็นเพียงเถ้าธุลี นี่ไม่ใช่ภัยพิบัติแบบสุ่ม แต่มันคือ "คำพิพากษา" ที่ทุกคนรู้ล่วงหน้า และในปีนี้ ตัวเลขที่เธอวาดคือ "33" ตัวละครเอกของเราและพรรคพวกใน "คณะเดินทางที่ 33" (Expedition 33) คือกลุ่มคนที่มีเวลาเหลืออีกไม่ถึงหนึ่งปี พวกเขาไม่ใช่ผู้กล้าที่ถูกเลือก แต่เป็นเพียงคนธรรมดาที่กำลังจะตาย และตัดสินใจออกเดินทางในภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ นั่นคือการหยุดยั้งเพนเทรสก่อนที่เวลาของพวกเขาจะหมดลง มันคือ "การเดินทางสู่ความตาย" (Death March) อย่างแท้จริง แค่พล็อตเรื่องก็ทำให้ผมขนลุกแล้วครับ มันสร้างสภาวะทางอารมณ์ที่หนักหน่วงและบีบคั้นอย่างที่สุด ผมลองจินตนาการถึงบทสนทนาระหว่างการเดินทางของพวกเขา มันคงไม่ใช่แค่การคุยเล่นสนุกสนาน แต่มันคงเต็มไปด้วยความกลัว, ความหวังลมๆ แล้งๆ, การย้อนนึกถึงสิ่งที่อยากทำแต่ไม่มีโอกาส, หรือแม้กระทั่งมุกตลกร้ายที่เอาความตายของตัวเองมาล้อเล่นเพื่อประคองสติ... นี่คือพื้นที่สำหรับ "การเล่าเรื่องของมนุษย์" ที่ลึกซึ้งและทรงพลังอย่างหาที่สุดไม่ได้ ความสัมพันธ์ของตัวละครในคณะเดินทางนี้จะเป็นอย่างไร? พวกเขาจะทะเลาะกันเพราะความกดดันไหม? จะมีใครยอมแพ้กลางทางหรือเปล่า? แล้วตัวเพนเทรสเองล่ะ... เธอคือปีศาจโดยสันดาน หรือเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในโศกนาฏกรรมที่ใหญ่กว่านี้? คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่หยุด และมันคือเสน่ห์ของการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม ที่ทำให้เราอยากติดตามเพื่อค้นหาคำตอบ แม้จะรู้ว่าปลายทางอาจมีเพียงความว่างเปล่ารออยู่ก็ตาม ดีไซน์ของเกม โลกที่งดงามราวกับภาพวาด แต่เคลือบฉาบด้วยความตาย สิ่งที่ทำให้แก่นเรื่องอันหม่นหมองนี้ยังคงงดงามได้อย่างน่าประหลาดใจ คืองานศิลป์และโลกของเกมครับ Clair Obscur ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุค "Belle Époque" ของฝรั่งเศส (ช่วงปลายศตวรรษที่ 19) สถาปัตยกรรมในเมืองเต็มไปด้วยความหรูหราอลังการ ระเบียงเหล็กดัดอันวิจิตร ถนนที่ปูด้วยหิน... มันคือโลกที่สวยงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด แต่ความงามนั้นกลับถูกบดขยี้ด้วยการออกแบบศัตรูที่ดูเหนือจริงและน่าขนลุก พวกมันดูเหมือนหลุดมาจากฝันร้ายของใครสักคน เป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาดระหว่างเครื่องจักร, สัตว์, และรูปปั้น ความขัดแย้งระหว่าง "ความงาม" ของโลก กับ "ความน่าสะพรึงกลัว" ของภัยคุกคาม คือสิ่งที่สะท้อนชื่อเกม "Clair-Obscur" (มาจากคำว่า Chiaroscuro ที่แปลว่าการใช้แสงและเงาตัดกันอย่างรุนแรงในงานศิลปะ) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดนตรีประกอบที่ผมได้ยินในเทรลเลอร์ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง มันเริ่มต้นด้วยท่วงทำนองที่นุ่มนวลชวนฝัน ก่อนจะค่อยๆ ขยายสเกลใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเพลงออเคสตร้าที่ทั้งยิ่งใหญ่และเศร้าสร้อย มันคือบทเพลงที่บอกเล่าชะตากรรมของคณะเดินทางที่ 33 ได้โดยไม่ต้องมีคำพูดแม้แต่คำเดียว ผมเชื่อว่าดนตรีและเสียงประกอบจะเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่จะคอยขยี้อารมณ์ของเราตลอดทั้งเกมอย่างแน่นอน จิตวิญญาณแห่งการเดินทางครั้งสุดท้าย ในยุคที่เต็มไปด้วยเกมภาคต่อและสูตรสำเร็จ Clair Obscur: Expedition 33 คือลมหายใจที่สดใหม่และกล้าหาญ มันคือเกมสำหรับคนที่โหยหาประสบการณ์ใหม่ๆ, สำหรับคนที่รักเกม JRPG แบบคลาสสิกแต่ก็พร้อมจะเปิดรับวิวัฒนาการ, และที่สำคัญที่สุด มันคือเกมสำหรับคนที่เชื่อว่าวิดีโอเกมสามารถเป็น "ศิลปะ" ที่เล่าเรื่องราวอันลึกซึ้งและกระทบใจเราได้ ผมไม่รู้หรอกว่าในระหว่างที่กำลังเล่นเกมนี้ มันจะทำได้ดีอย่างที่ผมคาดหวังไว้หรือไม่ แต่สิ่งที่ผมรู้ในตอนนี้คือ ทีมงาน Sandfall Interactive ได้สร้าง "สัญญา" บางอย่างกับผมผ่านเทรลเลอร์ตัวนั้น สัญญาว่านี่จะเป็นการเดินทางที่น่าจดจำ, เจ็บปวด, แต่ก็งดงามอย่างที่สุด "จิตวิญญาณ" ของ Clair Obscur: Expedition 33 ในสายตาของผม คือ "การท้าทายโชคชะตาอย่างทระนง" มันคือเรื่องราวของกลุ่มคนที่ถูกขีดเส้นตายไว้แล้ว แต่แทนที่จะยอมจำนน พวกเขากลับลุกขึ้นสู้และออกเดินทางเพื่อเขียนตอนจบของตัวเอง มันคือคำถามที่เกมโยนใส่เราว่า... "ถ้าเวลากำลังจะหมดลง คุณจะยอมให้มันจางหายไป หรือจะลุกโชนเป็นเปลวไฟให้สว่างไสวที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย?" ผมไม่รู้ว่าการเดินทางครั้งที่ 33 นี้จะจบลงอย่างไร... แต่ผมรู้แค่ว่า ผมพร้อมที่จะร่วมเดินทางไปกับพวกเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายแล้วครับ เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !