ความรู้สึกว่างเปล่า อ้างว้าง รู้สึกไร้ตัวตนราวกับว่าชีวิตเป็นเพียงส่วนหนึ่งของอะไรซักอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีความสำคัญ เกิดขึ้น คงอยู่และดับไป การใช้ชีวิตในแต่ละวัน การทานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นบ้าน อาหารประจำภาค อาหารเมืองกรุง อาหารต่างในประเทศ หรือแม้กระทั่งนอกประเทศ หลายคนอาจคิดว่ามีความแตกต่างกัน แต่ที่จริงไม่มีความแตกต่างกันเลย หลักๆ แล้วก็มีคาร์โบไฮเดรต มีโปรตีน ไขมัน และวิตามินแร่ธาตุนิดหน่อย เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ขม จืด ถ้าคุณมีความรู้สึกทำนองนี้ ความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่เป็นมันก็เป็นอย่างที่มันเป็น หินก็คือหิน น้ำก็คือน้ำ คุณอาจไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า แต่กำลังเข้าถึงสูญนิยมโดยไม่รู้ตัวที่มาของความว่างเปล่า แนวคิดทางปรัชญานี้ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนหรือเร็วๆ นี้ ย้อนกลับไปในสมัยโบราณที่เป็นต้นแบบความเชื่อต่างๆมากมาย ที่มีอิทธิพลทางความคิดของมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน ไม่ทราบที่มาแน่ชัด แต่ถูกยกมาพูดถึงในศตวรรษที่ 14 โดยพระฟรานซิสกันรูปหนึ่งนามว่า เซนต์ บอนอาเวนตูรา (Saint Bonaventura) แสดงความเห็นถึงภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการดำรงอยู่บนโลก ถึงขนาดที่ว่า “เหมือนถูกอับเปหิเพราะระเบิดเสียงหัวเราะในโบสถ์ และถูกโยนออกจากซ่องนางโลม เพราะไปสวดมนต์ภาวนากับโสเภณี” การใช้ชีวิตเป็นปัญหาที่แก้กันไม่ตก ไม่มีคำตอบตายตัวจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ สิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด เหมือนกับเจอทางตันของชีวิต และยังยอมรับอีกด้วยว่า สิ่งที่ทำให้ท่านคับข้องใจ หวาดหวั่นที่สุดในชีวิต ไม่ใช่การมีอยู่ของพระเจ้าแต่เป็นการรับรู้ถึง "ความว่างเปล่า" ในการดำรงอยู่ในโลกใบนี้ และอีกครั้งในศตวรรษที่ 19 โดย ฟรีดริช นิทเช่ (Friedrich Nietzsche) นักปรัชญาชาวเยอรมันได้รับการยกย่องว่าเป็นบิตาของ สูญนิยม ได้ประกาศเอาไว้ว่า "ความจริงก็คือเรื่องโกหกที่เชื่อตามกันมา"สูญนิยมคืออะไรสูญนิยมเป็นความเชื่อที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกล้วนไร้ค่า ไร้ความหมาย ศาสนา วัฒนธรรม ความรู้ ความเข้าใจ ล้วนเป็นเรื่องปั้นแต่งขึ้นมาทั้งนั้น เป็นปรัชญาที่ไม่เชื่อ ไม่ให้คุณค่า หลายสิ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์หรือเป้าหมายบางอย่าง เป็นแนวคิดที่แปลกประหลาดและถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์กับแนวคิดอื่นสูญนิยมในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าในทุกวันนี้ เทคโนโลยีได้เข้ามีบทบาทในการดำรงชีวิตในแต่ละวัน มีความสะดวกมากมายเกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมากก่อน อย่างเช่น การสนทนากันผ่านโทรศัพท์ การเดินทางข้ามประเทศภายในไม่กี่ชั่วโมง ด้วยความง่ายดายนี้จึงทำให้หลายคนรู้สึกเบื่อ พยายามค้นหาสิ่งแปลกใหม่ทำอยู่ตลอดเวลา บางคนค้นหาการมีอยู่ของตัวเองด้วยการออกเดินทางรอบโลก ไปที่ที่น้อยคนบนโลกจะไป หรือการประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ให้โลกได้รับรู้ การค้นพบวัตถุ สสาร พลังงานในรูปแบบใหม่ ที่จริงแล้วสูญนิยมไม่ได้หายไปไหน ยังคงแทรกซึมอยู่ในทุกขณะการมีชีวิตของเรา ความว่างเปล่า ความไม่มีอะไรเลยมันทำให้เราได้ฉุกคิดถึงการมีอยู่ของเรา ทำให้เราพัฒนาอะไรก็ตามให้ดีขึ้นกว่าเดิม เป็นมากกว่าแรงผลักดันให้เราก้าวต่อไป เพื่อที่ว่าเมือเราตายไปจะไม่มีอะไรสูญเปล่า สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดจะถูกเก็บรวบรวมไว้ในโลก ให้ลูกหลานมนุษย์ยุคต่อไปได้นำไปพัฒนาต่อ ในวันที่เรามีเทคโนโลยีมากพอที่จะรู้ได้แทบทุกสรรพสิ่งจนมองย้อนกลับมา แท้จริงแล้วเราเกิดมาจาก "ความว่างเปล่า"หลายแนวความคิด หลากหลายปรัชญาคอยบอกให้เราเชื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้มา ตลอดชีวิตของเรา พ่อแม่ ญาติ เพื่อน ครู อาจารย์ต่างพร่ำสอนบอกเราต่างๆ นาๆ ด้วยความหวังดีแต่ไม่ได้หมายความว่าจะดีกลับเราเสมอไป ผู้เขียนเองก็พึ่งจะเรียนจบมาหมาดๆ ก็ไม่ได้มีความรู้ ประสบการณ์การใช้ชีวิตมามากนัก ซึ่งอาจจะเริ่มต้นด้วยซ้ำ แต่เพราะได้สืบค้นหาความหมายของการมีชีวิต การใช้ชีวิต ได้มาเจอกับแนวคิดนี้และเห็นว่ามีประโยชน์จึงอยากจะแบ่งปันให้ได้อ่านกัน หากตอนนี่เรารู้สึกหลงทาง สับสนกับหลักการแนวคิดมากมายที่กำลังถาโถมเช้ามาในความคิด ในชีวิต บอกให้ทำนุ่นทำนี่ ไปทางนั้นสิ ไปทางนี้สิ บางที่การไม่เชื่ออะไรเลย การไม่ให้คุณค่ากับสิ่งภายนอก สิ่งที่ทำอยู่อาจเหมือนกับ การหาเงาตัวเอง โดยวิ่งคามแสงไฟ ก็เป็นได้ เพียงแค่หันกลับมาที่ตัวเราเอง อยู่กับปัจจุบัน คุณอาจเจอสิ่งที่ตามหาอยู่ก็ได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : สูญนิยม โดยเพจ Being and Timeขอขอบคุณภาพปกจาก : Freepik by wayhomestudioPhoto by wirestock on FreepikPhoto by starline on FreepikPhoto by rawpixel.com on FreepikPhoto by rawpixel.com on Freepikอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !