ในที่สุดก็เป็นไปตามความคาดหมายที่เราต้องเข้าสู่โหมดเก็บตัว 14 วัน อย่างจริงจัง ด้วยคำสั่งจากหน่วยงานราชการของเราเอง โดยไม่นับเป็นวันลา ซึ่งเราเองถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อตัวเอง ครอบครัวและเพื่อสังคม แม้จะเป็นการเดินทางกลับจากการอบรมในจีนอย่างเงียบ ๆ แต่ด้วยสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าในช่วงนั้น ซึ่งถือว่าเรามาจากประเทศที่เสี่ยง การกักตัวเองวันแรก เราตื่นประมาณ 08.00 น ซึ่งถือว่าสายมาก ปกติอยู่ที่จีนจะตื่น 05.30 น. เทียบเวลาไทย คือ 04.30 น. เวลาที่จีนจะเร็วกว่าที่ไทย 1 ชั่วโมง อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยจากการเดินทาง หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็เริ่มตั้งระบบการทำงานออนไลน์ให้กับตัวเอง (Work from Home) ติดต่องานผ่านไลน์และข้อความผ่านเฟสบุค ช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีการนำเสนอเกี่ยวกับวิธีการการกักตัวและสังเกตอาการที่ชัดเจน รู้เพียงอาการของผู้ป่วยไวรัสโคโรน่า คือ มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ไอแห้ง ๆ อาการหายใจไม่สะดวก เหนื่อยหอบ ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำทุกวันคือวัดอุณหภูมิตัวเอง เช้า - เย็น สวมแมสตลอดเวลาและทุกวัน แยกแก้ว จาน ชาม ช้อน ไว้ใช้เฉพาะตัวเอง แยกกินอาหารคนเดียวโดยไม่กินอาหารร่วมโต๊ะกับสมาชิกในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอก แม้กระทั่งไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่สำคัญคือไม่ได้ไปร้านเสริมสวยต้องสระผมเอง ซึ่งชีวิตนี้นับครั้งได้ที่เราต้องสระผมเอง เนื่องจากเป็นคนผมหนาและผมฟูมากส่วนอาหารจะเป็นการตุนเสบียงไว้ ช่วงแรกเรารู้สึกมีอาการมึนหัว อ่อนเพลียและเจ็บคอเหมือนทอลซินอักเสบ รู้สึกหายใจไม่ค่อยเต็มปอด แอบคิดในทางลบเหมือนกันว่าเราจะเป็นโรคนี้หรือไม่ เพราะจำได้ว่าก่อนกลับตอนไปซื้อของที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง มีนักศึกษาชายไอยืนอยู่ใกล้ ๆ เรา แม้เขาจะใส่แมส เราก็รีบถอยห่างออกอย่างรวดเร็ว ทำให้นึกถึงน้องที่ไปอบรมด้วยกันได้เล่าให้ฟังว่าขณะที่กำลังเลือกซื้อผลไม้อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ต มีผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใส่แมสแล้วจามออกมาอย่างแรง ผลปรากฏว่าทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นวิ่งแตกกระเจิงทันที รวมถึงน้องที่เล่าเหตุการณ์ให้ฟังก็วิ่งหนีไปกับคนอื่น ๆ เช่นกัน ในช่วง 14 วัน ที่เก็บตัว บางวันก็จะมีอาการภูมิแพ้ซึ่งเป็นโรคประจำตัวกำเริบ คือคันตาและจามหนักมาก จนรู้สึกปวดหัว ปวดกระบอกตาและเหมือนตัวอุ่น ๆ เกิดความไม่วางใจก็ต้องรีบใช้ปรอทวัดอุณหภูมิตัวเองทันทีต้องไม่เกิน 38 องศา และกินยาแก้แพ้แต่จะไม่กินยาแก้ปวดหัวหรือยาลดไข้ ซึ่งบางวันก็มีอาการเจ็บคอและคอบวมบ้าง แต่ก็หายไปภายใน 2 - 3 วัน ช่วงนั้นเราจะกินวิตามินซีชีวภาพและดื่มน้ำอุ่นที่แช่มะนาวแห้งที่ซื้อมาจากฉงชิ่ง ได้รสชาติเปรี้ยว ๆ ชื่นใจดี จำได้ว่ามีวันหนึ่ง ประมาณ 5 - 6 วันผ่านไปแล้ว ที่เรานึกอยากกินเล้งต้มแซ่บของร้านที่อยู่ใกล้กับบ้าน เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เราตัดสินใจออกจากบ้านไปซื้อเอง เราไม่ลืมที่จะใส่แมสและออกไปซื้อเอง ปรากฏว่าได้ยินลูกค้าในร้านกำลังพูดเรื่องไวรัสโคโรน่าและพูดในทำนองที่กลัวกันอย่างมาก โชคดีที่ไม่มีใครในหมู่บ้านรู้ว่าเราพึ่งกลับมาจากจีนแต่เราเองต่างหากที่รู้สึกขึ้นมาทันทีแบบวัวสันหลังหวะ เมื่อได้ต้มเล้งแล้วก็รีบจ่ายเงินและรีบกลับบ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ออกไปไหนอีกเลย ระหว่างที่อยู่บ้านนอกจากจะทำงานด้วยระบบออนไลน์แล้ว ก็มักจะกินและนอน ซึ่งก็ทำให้เรารู้สึกเกิดความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าเราคงไม่ได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่าเป็นแน่ เพราะจมูกยังได้กลิ่นหอมของอาหารและมีความอยากกินทุกครั้งเมื่อรับรู้รสชาติของอาหารที่กิน จึงทำให้ช่วงนั้นต้องหากิจกรรมอื่น ๆ ทำไปด้วยเพื่อจะได้ไม่เกิดความรู้สึกเบื่อและไม่อ้วนเป็นหมูแทนโค (โคโรน่า) สำหรับการอยู่ร่วมกับสมาชิกในบ้าน จะอยู่ห่างในระยะประมาณ 2 - 3 เมตร โดยไม่เข้าไปใกล้ใคร ซึ่งปกติโดยส่วนตัวก็ไม่ใช่คนช่างพูดช่างคุยอยู่แล้ว และใส่แมสตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีคนหรือไม่มีคนอยู่ในบ้านก็ตาม โชคดีที่ได้ขอแมสจากผู้ประสานงานโครงการไว้ก่อนขึ้นเครื่องกลับไทย ในช่วงกลางวันเราจะอยู่กับคุณยาย แต่คุณยายก็มักจะไปทำต้นไม้ในสวนข้างบ้านหรือไม่ก็อ่านหนังสือในห้องถัดไป นอกจากนี้เราจะรีบขึ้นนอนให้เร็วกว่าปกติโดยไม่อยู่ดูทีวีร่วมกับสมาชิกในบ้าน เราคิดว่าเราคงจะไม่แพร่เชื้อ หากมีเชื้อในร่างกายเราจริง และแล้วก็ครบ 14 วันในการกักตัวเอง เราไม่มีอาการใด ๆ ทั้งสิ้น ยอมรับว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจมีความกังวลบ้างแต่ด้วยมั่นใจว่าเราไม่ได้อยู่ในเมืองที่เสี่ยงและไม่ได้ไปในที่มีคนมาก ๆ เพราะในช่วงที่อยู่ฉงชิ่ง เราปฎิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามที่ทางการจีนกำหนด ในวันแรกที่ไปทำงานตามปกติ เราก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเพื่อนจะกังวลหรือกลัวเราเกี่ยวกับเชื้อโคโรน่าหรือไม่ แต่ทุกคนก็แสดงท่าทีปกติ เพราะความเชื่อมั่นที่ว่า เชื้อไวรัสโคโรน่าจะแสดงอาการภายใน 14 วัน เมื่อกักตัวจนครบ 14 วันแล้ว จากนั้นถือว่าปลอดภัย แมีจะยังมีข่าวออกมาในช่วงหลังอีกว่าเชื้อไวรัสนี้อาจจะแอบอยู่ได้โดยไม่แสดงอาการถึง 30 วันเราก็หวังว่าจะไม่ต้องหยุดต่อจนถึง 30 วัน เรารู้สึกภูมิใจที่อย่างน้อยก็ดูแลตัวเองดีอย่างเต็มที่ และก็ไม่ละเลยในสิ่งที่ควรปฏิบัติโดยเฉพาะเรื่องการกักตัวเอง 14 วัน เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่าเราจะเป็นผู้นำเชื้อไวรัสโคโรน่ากลับมาและแพร่ไปยังคนอื่นหรือไม่ อย่างน้อยก็เรียกได้ว่ากันไว้ดีกว่าแก้ ท้ายสุดนี้เราก็ขอฝากทุกคนที่อาจจะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงไว้ว่า การกักตัว 14 วันคือสิ่งดีงามและไม่ควรละเลยทั้งยังแสดงถึงความเสียสละเพื่อคนที่เรารัก สังคมรอบตัวเราและส่วนรวม