หลังลองเขียนบทความใน True มาสักพัก ก็รู้สึกว่าการเขียนให้ยอดวิวถึงขั้นต่ำก่อน เป็นเงื่อนไขที่ไม่ง่ายสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเขียนไม่นาน เลยกำลังจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับช่องทางการเพิ่มคนเข้ามาอ่านบทความเป็นซีรีส์อยู่ แต่ก็คิดอยู่ว่าจะเริ่มจากเรื่องไหนดีพอนึกถึงเรื่องการทำยอดวิวให้ถึงเป้าที่กำหนด ทำให้นึกถึงเรื่องในอดีต สมัยผมเริ่มสนใจ SEO (Search Engine Optimize) ครั้งแรก ซึ่งเริ่มต้นความต้องการที่อยากเพิ่มยอดวิว จนผันตัวจากงานสายการเขียน กลายเป็นงานประจำที่ทำมาหลายปี เลยหยิบมาเล่ากันก่อนครับยุคเขียนแบบอิสระย้อนไปช่วงสิบกว่าปีก่อน สมัยก่อนเฟซบุ๊คเข้ามา ส่วนตัวผมสมัยเรียนเคยเขียนลง Pantip หรือ เว็บบอร์ดสมัยก่อนบ้าง เป็นกลุ่มเล็กๆ ไม่ได้สนใจเรื่องจะมีคนอ่านมากนัก เลยมีสกิลการเขียนไปเรื่อยๆ อยู่บ้าง ยอดวิวมาจากคนในบอร์ดที่เป็นกลุ่มเจาะจงโดยเฉพาะ และได้ขึ้นเป็นฟีเจอร์คอนเทนต์ในบางครั้ง จึงไม่แปลกใจกับยอดผู้ชมมากนักส่วนตัวผมเคยทำงานนักเขียน อยู่ในกองบรรณาธิการหนังสือเกม ก็ยิ่งถนัดการสร้างบทความมากขึ้น แต่ด้วยความเป็นออฟไลน์ ไม่ได้คุยกับคนอ่านโดยตรง ทำให้ทราบผลตอบรับยาก ว่าคนอ่านพอใจสิ่งที่เราเขียนแค่ไหน เป็นสิ่งที่ต้องประชุมกันในทีมกันตลอด บางครั้งถึงกับต้องไปสำรวจร้านอินเทอร์เน็ตและสอบถาม เพื่อหาแนวทางการเขียนเขียนออนไลน์ กับยอด View หลักแสน แบบไม่ได้คาดหวังเมื่อช่วงปี 2010 มีโอกาสได้เขียนออนไลน์ให้กับเว็บไซต์ โดยเขียนในหัวข้ออะไรก็ได้ สัปดาห์ละ 1 หัวข้อ ต้องการแค่หลักพัน View ต่อสัปดาห์ เป็นเกณฑ์ขั้นต่ำ (น้อยกว่าก็ไม่มีปัญหา เพราะไม่ใช่ KPI หลัก) ลงในเว็บที่ยอดวิวหลายล้านต่อเดือน ฟังดูอาจไม่ใช่เรื่องยากความยาก คือ คอนเทนต์ที่เขียน ไม่ได้เกี่ยวกับเกม แต่อยู่ในเว็บเกม ก็อยู่ได้แค่มุมด้านล่างของหมวดหมู่ย่อย (ไม่ใช่หน้าหลัก) เว็บก็มีให้อ่านสัปดาห์ละเป็นร้อยบทความ น้อยคนที่จะเลื่อนมาเห็น ซึ่งไม่ขึ้นรูปประกอบให้อีก ซึ่งยังไม่ใช่ยุค Mobile Friendly อีกทั้งทางบริษัทจะไม่แชร์คอนเทนต์แนวนี้ลง Facebook ทำให้ช่องทางเจอบทความเป็นไปได้ยากจนแทบไม่ต้องหวังส่วนตัวผม ลองเขียนหลายแนว แต่ที่บ่อยสุดก็เน้นเรื่องการ์ตูน อนิเมะ ที่ชอบในช่วงนั้น ทำให้ใช้เวลาว่างเขียนไปเรื่อยๆ ซึ่งยอดวิวเฉลี่ยก็หลายพันอยู่ ไม่ได้คาดหวังมากกว่านั้น เพราะตำแหน่งมุมขวาล่างของเว็บสมัยนั้น คนเลื่อนมาเจอก็แปลกแล้วจนวันหนึ่ง มาเจอยอดวิวหลักแสนในเดือนเดียว และเพิ่มเป็นหมื่นต่อสัปดาห์ต่อเนื่องไปหลายเดือน ทำให้กระตุ้นความสงสัยมาก ว่ามาจากไหนกัน ? แน่นอนว่าเยอะกว่าพวก Special Feature ในช่วงนั้นอีกพอหาข้อมูล ถึงเข้าใจว่าเป็น Traffic มาจาก Google ซึ่งติดอันดับ 1 หลายคีย์เวิร์ดในช่วงนั้น มีคนหาข้อมูลในสิ่งที่เขียนพอดี แต่ไม่มีเว็บที่เขียนข้อมูลได้ละเอียดพอ พอเห็นเขียนดีก็เอาไปแชร์ให้คนอื่นต่อ ทำให้บทความอันดับถูกดันขึ้นต้นๆ เป็นกลไกของ SEO สายขาวเรื่อง Organic Traffic หรือเข้าชมผ่าน Google ถือเป็นการเปิดโลกใหม่ของผมมาก ที่คิดว่ามีแต่การเข้ามาอ่านผ่านทาง Facebook, แบนเนอร์ใหญ่ๆ ในเว็บ เท่านั้นผมเริ่มศึกษาข้อมูลเรื่องนี้มากขึ้น คอนเทนต์เริ่มมีการวิเคราะห์มากขึ้น ว่าแนวไหนถึงจะมียอดวิวเยอะ, มีการทำ Link ภายในเพื่อเพิ่ม Page Rank ของแต่ละบทความ หรือ ลองเอาไปลงเว็บอื่นเพื่อลองเพิ่ม Backlink เข้าบทความหลังจากมีข้อจำกัดในเว็บ จึงการทดลองเปิดบล็อกตัวเอง ลองเครื่องมือหลายตัว เขียนหลายๆ แบบที่คนเข้ามาดูเยอะ จนกลายมาเป็นสกิลติดตัว และงานประจำสาย SEO ในภายหลังถ้าคุณชอบเขียนคอนเทนต์ น่าจะศึกษา SEO บ้างถ้าพูดถึงขั้นงานประจำอาจจะยากหน่อย เพราะ SEO ในไทยไม่ค่อยบูม วัดผลยาก คาดหวังสูง ชอบเห็นอะไรที่จับต้องได้ก่อน จึงนิยมพวก SEM มากกว่า SEO ที่เห็นผลช้าแต่ค่าโฆษณาออนไลน์ก็โตเป็นเงาตามตัว ไม่มีถูกลง เพราะคนลงมาแข่งขันกันมากขึ้น ไปงานอบรมไหนก็มีแต่คนให้ลงโฆษณา ไม่เว้นแม้แต่พวกธุรกิจร้านอาหาร, SME เล็กๆ หรือแม้แต่ของฝากต่างจังหวัด ก็ยังมีการยิงโฆษณาแย่งพื้นที่สื่อออนไลน์กันข้อเสียอีกอย่างของ SEM หรือ PPC คือ ถ้ามีเงินไม่อั้นก็ดีไป แต่ถ้าหยุดใช้เงินเมื่อไร ก็ไม่มีคนเข้าเว็บ ไม่มีคนจำแบรนด์ ซึ่งเป็นจุดต่างของ SEO ที่ใกล้กับเรื่องของ Content Marketing และพวกการตลาดแบบดึงดูดมากกว่า ทำให้เข้าถึงการจดจำได้ดีกว่า พวกการลงทุนอย่างสร้างเว็บคอนเทนต์ จ้างคนเขียนบทความออนไลน์มาลง จะเป็นการลงทุนระยะยาวที่หวังผลได้มากกว่าโดยรวมของบทความนี้ ก็อยากแนะนำให้เพื่อนๆ ที่ชอบงานเขียนออนไลน์ หาข้อมูลด้าน SEO มาเป็นสกิลติดตัวกันบ้างก็ดีครับ เชื่อว่าคำว่า SEO น่าจะเป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นในไทยหลังปี 2020 และโอกาสที่จะนำความรู้ด้านนี้มาใช้จะมีมากขึ้นแน่นอนครับภาพปกจาก Pixabay / ภาพที่ 1 จาก SE-ED / ภาพที่ 2 จาก Web Achieve / ภาพที่ 3 จาก Online Station / ภาพที่ 4 จาก Pixabay