การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทบเศรษฐกิจ ได้ส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ขณะที่รายจ่ายรัฐบาลก็เพิ่มขึ้นเพราะต้องดูแลช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่ถูกกระทบจากโควิด-19 ทำให้รัฐบาลต้องออกพ.ร.ก. กู้เงินวงเงิน 1 ล้านล้านบาท  และล่าสุด ครม.ก็อนุมัติกรอบการกู้เงินกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 214,093 ล้านบาท ทำให้มีกระแสวิพากวิจารณ์ว่า “คลังถังแตก” ประเด็นนี้ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์ มีความเห็นอย่างไร เราจะขยายประเด็นนี้กับ  ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ว่า ฐานะการคลังมี “ความเสี่ยง” จะถังแตกจริงหรือ?

ก่อนอื่นเรามาดูข้อมูลงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งปีนี้ตั้งไว้ที่ 3.2 ล้านล้านบาท และตั้งรายได้สุทธิ 2.73 ล้านล้านบาท เป็นงบประมาณขาดดุล 4.69 แสนล้านบาท 

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ระบาดโควิด-19 รัฐบาลออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ล่าสุดกระทรวงคลังกู้เงินในวงเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ไปแล้ว 3.18 แสนล้านบาท (ตั้งเป้าหมายจะกู้ในปีงบประมาณ63 จำนวน 6 แสนล้านบาท) 

และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงการคลัง กู้เงินกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 2.14 แสนล้านบาท  อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังชี้แจงว่า พิจารณากู้เงินตามความจำเป็น