วันพืชมงคล คือ วันที่กำหนดให้มีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นับว่าเป็นพระราชพิธีที่มีความเก่าแก่สืบต่อมาตั้งแต่โบราณเพื่อเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเกษตรกรของชาติ อีกทั้งยังเป็นการระลึกถึงความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งการจัดพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนี้มีสืบเนื่องมาตั้งแต่เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย การประกอบพระราชพิธีจะกระทำขึ้นที่ท้องสนามหลวง อันประกอบด้วย 2 พระราชพิธี คือ พระราชพิธีพืชมงคล และพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ความเป็นมา พระราชพิธีพืชมงคลเป็นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ เป็นพิธีพราหมณ์มีมาแต่โบราณ เป็นพิธีเริ่มต้นการไถนาเพื่อหว่านเมล็ดข้าว มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว พระราชพิธีทั้งสองนี้ ได้กระทำเต็มรูปแบบมาเรื่อย ๆ จนถึงปี พ.ศ. 2479 ได้เว้นไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ด้วยสถานการณ์โลกและบ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ไม่สมควรจะจัดงานใด ๆ จึงว่างเว้นไป 10 ปี ต่อมาทางราชการพิจารณาเห็นว่าประเทศไทย เป็นประเทศกสิกรรม โดยเฉพาะทำนาควรจะได้ฟื้นฟู ประเพณีเก่าอันเป็นมงคลแก่การเพาะปลูก ดังนั้น ใน พ.ศ. 2490 จึงกำหนดให้มีพิธีพีชมงคลขึ้นอีก แต่มีแค่พระราชพิธีพืชมงคลเท่านั้น (พิธีเต็มรูปแบบว่างเว้นไปถึง 23 ปี) ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2503 จึงจัดให้มีราชพิธีจรดพระนาคัลแรกนาขวัญร่วมกับพิธีพืชมงคลนับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้จึงจัดให้เป็นวันสำคัญของชาติ ความเป็นมาของวันพืชมงคล ในตำราพุทธศาสนา เรื่องมันมีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่ง ได้มีครอบครัวหนึ่ง มี แม่กับลูกชาย เป็นครอบครัว ที่มั่งคั่ง แต่ยังไม่ทีลูกสะใภ้ คนเป็นแม่ ก็อยากจะได้ลูกสะใภ้ กลัวว่าลูกชายจะเหงา เวลาเจอหน้า ลูกชาย ก็บอกว่า เดียวแม่หา ภรรยาให้นะ แต่ลูกชาย ก็บอกกับแม่ว่า จะดูแลแม่ ดีกว่า ไปหา แฟน ลูกไม่อยากจะมีภรรยา แต่นานวันเข้า ก็ทนการรบเร้าของแม่ไม่ไหว ก็เลยบอกว่างั้นก็แล้วแต่แม่จะหาให้แล้วกัน แม่เลยไปหาลูกสาว บ้านที่มีฐานะเสมอกันมา แต่งงานให้ แต่ว่าแต่งกันหลายปีแล้ว นางนี้ก็ไม่มีลูกสักที คนเป็นแม่เลยคิดว่า ตระกูลต้องสืบต่อด้วยการมีลูก แต่นางสะใภ้นี้ เป็นหญิงหมั้น ไม่มีลูก เลยคิดจะไปหาภรรยา ใหม่มาให้ลูก เลยไปปรึกษา ลูก ตอนแรกๆ ลูกก็บอกไม่เป็นไร แต่นานไป ลูกก็ตามใจแม่ แต่นางภรรยาหลวง ได้ยิน เข้าเลยคิดว่า ถ้าจะให้แม่ผัวหาภรรยาคนใหม่มาให้สามี ภรรยาคนนั้น จะต้องเป็น ปฏิปักษ์ กับเราแน่ งั้นเราจะหามาให้สามีเอง เพราะยังไง นางก็จะไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อเราแน่ เลยไปหาผู้หญิง ที่สวยหน่อย แต่ฐานะนาง ยากจน เลยถามซื้อมา จาก พ่อแม่ เขา และนำมาแต่งให้สามี เป็นภรรยาคนที่ 2 และต่อมา ภรรยาใหม่คนนี้ก็ท้อง และได้ไปบอกกับ ภรรยาคนแรก ภรรยาคนแรก อิจฉา เลยคิดว่า ถ้าปล่อยให้นางมีลูก สามีก็จะรักลูกนาง และก็จะไล่เราหนีแน่นอน ถ้าอย่างนัน เราจะไม่ให้นางมีลูก เลยทำเหมือนเอายาบำรุงครรภ์ไปให้ แต่ผ่านไปแค่เดือนเดียว ก็แท้ง และภรรยาหลวง ก็ได้มาหา และบอกว่า พี่เสียใจด้วยนะ ถ้าเธอท้องอีกเมื่อไหร่ ก็ให้มาบอกพี่นะ พี่จะจัดยาบำรุงครรภ์ให้ ลูกจะได้แข็งแรง และตั้งแต่นั้นมาเวลานางตั้งครรภ์ นางก็ไปบอก ภรรยาหลวง จนนางแท้งตลอด 2-3 ครั้ง จนมีอยู่วันหนึ่ง พวกเพื่อนๆของภรรยาใหม่มาเยี่ยม นาง นางเลยเล่าให้ฟังว่าแท้งมาหลายครั้งแล้ว พวกเพื่อนๆนางเลย ถามถึงเรื่อง ต่างๆจนสรุปกันว่า นางภรรยาหลวง เป็นคนวางยาทำให้แท้ง และตั้งแต่นั้นมานางตั้งท้อง นางก็ไม่ไปบอก ภรรยาหลวงเลย จนท้องนางป่องขึ้นมาได้ 7-8 เดือน ภรรยาหลวงเลยมาหานาง และได้ทะเลาะกัน ภรรยาหลวงเลย ให้คนซ้อมนางจนตาย แต่ก่อนตาย นางเลยโกรธแค้นอาฆาต ภรรยาหลวงไว้ว่า กูจะอาฆาตมึงตลอดไป ขอให้กูได้ฆ่ามึงกับลูกมึง ทุกภพทุกชาติไป เมื่อนางตายไปแล้ว สามีรู้เรื่องเข้า ก็เลยตีภรรยาหลวง จนตาย เมื่อนางทั้ง 2 ตายไป ก็ไปเกิดตามยถากรรม คนหนึ่งเกิดเป็นไก่ คนหนึ่งเกิดเป็นแมว แมวก็ไปกินลูกไก่ และแม่ไก่ และอาฆาตกันมาเรื่อย จนต่อมานางทั้ง 2 ได้มาเกิดในสมัยพุทธกาล คนหนึ่งเป็นหญิงชาวบ้าน อีกคนเป็นยักษิณี แล้วเมื่อนางหญิงชาวบ้านนี้คลอดลูก นางยักษิณีนี้ ก็มากินลูกของนางอยู่เรื่อย โดย นางยักษิณีได้มาจำแลงกายเป็นเพื่อนหญิงชาวบ้านนี้ ทำท่ามาอุ้มลูกของนาง พร้อมกับจับกินเลย ถึง 2ครั้ง นางกลัวมาก เลยบอกสามี ให้สามี พาไปบ้านพ่อกับแม่ เพราะพวกญาติน่าจะช่วยได้ แต่เมื่อนางถึงระหว่างทาง นางก็ได้คลอดลูก ริมแม่น้ำ ในขณะที่นางกำลังอาบน้ำ แต่งตัวอยู่นั้น นางยักษิณี ก็ได้มา นางเห็นแต่ไกล เลยร้องบอกสามี ว่านางยักษิณีมาแล้วพี่ สามีได้ยิน เลยวิ่งหนี ปล่อยทิ้งนางไว้กับลูก นางเป็นห่วงลูกมาก เลยวิ่งอุ้มลูก เข้าไปใน วิหารที่พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ในขณะนั้น พระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมเทศนาอยู่ นางวิ่งเข้าไป แล้วนำลูกไปวางไว้ที่ใกล้พระบาทของพระพุทธเจ้า แล้วทูลกับพระองค์ว่า ข้าพเจ้า ขอถวายบุตรนี้แก่พระองค์ ขอให้พระองค์ปกปักรักษา บุตรคนนี้ด้วยเถิด ในขณะนั้น นางยักษิณีกำลังวิ่งตามมา กำลังจะเข้าไปในวิหาร แต่เทวดา คนเฝ้าวิหารไม่ให้เข้ามา พระพุทธเจ้าเลยตรัสว่าให้นางเข้ามาเถอะ หญิงชาวบ้านนี้ ร้องไห้ตะโกนว่า นางคือยักษิณี จะมาจับลูกของนางกิน พอยักษิณี เข้ามาแล้ว ได้ตรัสกะนางยักษิณีผู้มายืนอยู่แล้วว่า “เหตุไร? เจ้าจึงทำอย่างนั้น ก็ถ้าพวกเจ้าไม่มาสู่เฉพาะหน้าพระพุทธเจ้าผู้เช่นเราแล้ว เวรของพวกเจ้าจักได้เป็นกรรมตั้งอยู่ชั่วกัลป์ เหมือนเวรของงูกับพังพอน, ของหมีกับไม้สะคร้อ และของกากับนกเค้า, เหตุไฉน พวกเจ้าจึงทำเวรและเวรตอบแก่กัน? เพราะเวรย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวร หาระงับได้ด้วยเวรไม่” ดังนี้แล้ว พระองค์เลยตรัสว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน ในกาลไหนๆ เวรทั้งหลายในโลกนี้ ย่อมไม่ระงับด้วยเวรเลย ก็แต่ย่อมระงับได้ด้วยความไม่มีเวรธ รรมนี้เป็นของเก่า นางยักษิณีนี้ น้อมใจไปตามพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อนางบรรลุธรรมแล้ว พระองค์เลยจะให้นางอุ้มเด็ก นางหญิงชาวบ้านไม่ยอมให้อุ้ม พระองค์เลยตรัสว่า นางยักษิณีนี้ จะปกป้อง อันตรายทั้งหลาย ให้กับเจ้าและลูก ให้เขาอุ้มเถอะ พอนางยักษิณีได้อุ้เด็กแล้วก็ หลงรัก เอ็นดู เด็ก และจูบกอดเด็ก แล้วก็เริ่มร้องไห้ ออกมา พระพุทธองค์เลยตรัสถามว่า เธอร้องไห้ทำไม นางยักษ์เลยตอบพระองค์ว่า ในกาลก่อนถึงจะจับ สัตว์ทั้งหลาย มากินแต่ก็ไม่เคยอิ่มท้องเลย จนได้มาเจอลูกของนาง พอได้กินแล้วมันทำให้อิ่มท้อง แต่ในกาลบัดนี้ ได้เว้นขาดจากปาณาติปาต การฆ่าสัตว์แล้ว ข้าพระองค์ ก็ไม่รู้จะดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างไร พระองค์เลยตรัสบอกว่า เจ้าอย่าได้กังวลเลย แล้วทรงตรัสกับนางหญิงชาวบ้านนี้ว่า เจ้าให้นางยักษิณีนี้ ไปอยู่ที่บ้าน และดูแลนางด้วยข้าวต้ม หรือข้าวสวยก็ได้ พวกนางเลยพากันทูลลาพระองค์ กลับบ้าน พวกนางเลยได้เป็น สหายกัน ดูแลกัน แต่นางยักษิณี อยู่ในบ้านไม่ได้ เพราะ เสียง ตำสาก เสียงเด็ก ต่างๆ รบกวนนาง นางเลยบอกหญิงเพื่อนของนาง หญิงเพื่อนของนาง เลยพานางไปไว้ที่ในที่สงัด ไม่มีอะไรรบกวน และนางหญิงสหาย ก็ได้เอาข้าวมาส่งทุกวัน จนถึงฤดู ทำนา นางยักษ์ นี้ รู้จักว่าฝนจะดี หรือไม่ดี เลยคิดว่า เราเป็นหนี้เพื่อนเรา ถึงเวลาที่เราจะตอบแทนเพื่อนเราแล้วละ เลยถามหญิงสหายว่า ที่นาเธออยู่ไหน แล้วถ้าปีนี้ฝนดี นางก็จะบอกให้ไปทำในที่ ดอน เพราะเดี๋ยวน้ำจะท่วม ปีไหนฝนไม่ดี นางก็จะบอกให้ไปทำในที่ลุ่ม เพราะเดี๋ยวต้นข้าวจะตายเพราะขาดน้ำ และตั้งแต่นั้นมา นางไม่เคยลำบาก เพราะเรื่องฝน หรือน้ำอีกเลย อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ พวกชาวบ้าน ชาวนคร เห็นว่าข้าวของนางสมบูรณ์ดีขนาดนี้ ไม่เคยเดือดร้อนเลย ก็เลยรวมตัวกันไปถามนาง นางก็เลยได้บอกว่า เพื่อนยักษิณีเราบอกมา ปีไหนฝนเป็นยังไง ให้ทำนาที่ไหน เพื่อนเราเป็นคนบอกเอง แล้วชาวบ้านชาวนคร เลย ถามว่า แม่นาง เราถ้าเราไปถาม นางยักษิณี จะบอกเราไหม นางหญิงนี้เลยบอกว่า ดิฉันไม่รู้ แต่ถ้าพวกท่านนำข้าวต้ม ข้าวสวย ไปดูแลนาง นางอาจจะบอกก็ได้นะ ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้าน เลยเอาข้าวต้มข้าวสวย ขนมนมเนย ไปเลี้ยงดู นางยักษิณีนี้ และนางยักษ์นี้ก็ได้บอก ชาวบ้านว่าที่ไหน ควรทำนา ที่ไหนไม่ควรทำนาในแต่ละปี จนอาหารการกินเยอะขึ้น และผลัดกันไปเลี้ยงดูนางยักษ์นี้ และมันก็เป็นประเพณี สืบกันมาว่า ก่อนทำไร่ทำนา ให้ไปไหว้ นางยักษิณีนี้ เพื่อให้นางดูแลนาให้ และนางยักษิณีนี้ เมื่อมีข้าวปลาอาหารเยอะขึ้น เลยนึกถึงบุญคุณพระพุทธเจ้า เลยได้นิมนต์พระสงฆ์ มาฉันเช้าทุกวัน ทำบุญตลอด และก่อนจะทำไร่ทำนา นางก็จะพาชาวบ้านทำบุญ ทำทานก่อน และชาวบ้านก็เลยทำสืบต่อกัน จนมาถึงทุกวันนี้ นี่ก็เลยเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เวลาจะอะไร ก็จะไหว้นั้นไหว้นี้ ตลอด เพื่อขอให้ธุรกิจ หรือ ทำมาค้าขึ้น ทำไร่ทำนา เพื่อให้ประสบความสำเร็จ และสุดท้ายนี้ ผู้เขียนคิดเห็นว่าวันพืชมงคลเป็นวันที่ทุกคนควรตระหนักถึงการระลึกถึงบุญคุณของสัตว์ที่เราใช้แรงงาน สิ่งของที่เราใช้ รถที่เราขี่ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เราใช้ แต่เราก็ควรให้มันได้พักผ่อน และควรดูแลมันบ้าง ยิ่งเป็นสัตว์ที่เราใช้งานเรายิ่งต้องดูแล เอาใจใส่ เช่นสุนัข แมว วัวควาย เป็นต้น ที่สำคัญ ธรรมดาสัตว์เดรัจฉาน เขาเกิดมาเพราะกรรม ต้องมาใช้กรรม เราก็ควรทำบุญให้กับสัตว์พวกนี้บ้าง เพื่อเขาจะได้พ้นทุกข์จากการเป็นสัตว์เดรัจฉานนี้ และพื้นที่บ้าน ไร่นา ไร่สวน ก่อนที่เราจะทำการเพาะปลูก เราควรจะบอกกล่าว เจ้าที่ หรือปู่ย่าตายาย ที่เขาเคยทำ มาหากินแถวนั้น และสัตว์เล็กน้อยใหญ่ ให้เขาระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เป็นการพรากชีวิตสัตว์โดยไมาจำเป็นจนบาปเป็นกรรม จองเวรจองกรรมกัน ข้อมูล: พระไตรปิฎก Wikipedia ภาพ 1 :Wikipediaภาพ 2: Wikipediaภาพ 3 :Deckimภาพ 4 : popartsja :by : pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !