สถานการณ์ขณะนี้คงไม่มีใครตอบได้หรอกว่า หลังจากนี้โลกจะไปในทิศทางใด และผู้คนบนโลกใบนี้จะดำเนินชีวิตกันอย่างไร การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 นั้น ยังคงลุกลามต่อเนื่องและรุนแรง ยอดติดเชื้อและยอดคนตายในแต่ละวันก็ยังเพิ่มสูงขึ้น ประเทศต่าง ๆ ก็ระดมมาตรการออกมารับมือ บางประเทศที่ได้รับคำชมว่าจัดการโควิด 19 ได้อย่างชัดเจน ก็กลับมามียอดจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสสูงขึ้นมากจนน่าตกใจ แต่ด้วยไวรัสโควิด-19 นั้นเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นครั้งแรกบนโลก ยังไม่มีการคิดค้นตัวยารักษาไวรัสชนิดนี้ได้ จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกก็พอจะชี้ชัดได้ว่า ระบบสาธารณสุขของโลกเรียกว่าแทบจะไม่สามารถรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วได้เลย ขีดจำกัดทางการตรวจ การรักษา เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากรทางการแพทย์ก็แทบจะไม่เพียงพอ มาตรการคุมเข้มต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ จึงต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญ เพื่อจะลดจำนวนผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การปิดเมือง การกักตัวเอง การประกาศห้ามออกนอกบ้าน หรือเคอร์ฟิว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อเป็นการ "Flatten the Curve" ซึ่งก็หมายถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมารณรงค์ บังคับใช้เพื่อตัดวงจรการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อให้น้อยที่สุด ช่วยชะลอการระบาดของเชื้อไวรัส โดยทำควบคู่กันไปกับวิธีการทางสาธารณสุข ภาพประกอบ โดยผู้เขียน แน่นอนว่าการ Flatten the Curve ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อลดปริมาณผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ให้มากที่สุด ลดกราฟความเสี่ยงให้ต่ำลงมากที่สุด โดยจะหวังพึ่งระบบสาธารณสุขเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว มาตรการต่าง ๆ ของรัฐเลยต้องนำมาบังคับใช้เพื่อ Social Distancing เช่น การประกาศเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 22.00 – 04.00 น. การห้ามเดินทางข้ามจังหวัด การให้แต่ละบริษัทกำหนดนโยบายให้พนักงาน Work from Home สำหรับข้อปฏิบัติของประชาชนก็คือ พยายามเจอกันให้น้อยที่สุด งดเข้าไปในที่แออัด ออกไปซื้อของกินของใช้เท่าที่จำเป็น หรือสั่งอาหารมากินที่บ้าน ขอบคุณภาพประกอบ Macau Photo Agency / unsplash แต่หลาย ๆ มาตรการที่ออกมาก็อาจจะไม่ได้ผลมากนัก เช่น บางบริษัทไม่สามารถทำงานที่บ้านได้จริง ๆ หรือการปล่อยเงินกู้ของธนาคาร ประชาชนไม่สามารถทำทางออนไลน์ได้ ต้องไปต่อแถวเบียดเสียดเข้าคิวกันที่ธนาคาร หรือแม้แต่การต้องไปต่อแถวซื้อหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ สิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงแทบทั้งสิ้น การที่ผู้คนจำนวนมากต้องออกไปรวมตัวกัน หรือแม้แต่การตรวจวัดอุณหภูมิตามสถานที่ราชการ หน่วยงานต่าง ๆ ระหว่างที่วัดอุณหภูมิยืนห่างกันในระยะ 2 เมตรก็จริง แต่ช่วงที่ผ่านเข้าไปได้แล้วก็ไปยืนในระยะประชิดกันต่อ การเข้าแถวแบบมีเส้นกำหนดให้เว้นระยะก็เช่นกัน จะเว้นระยะเฉพาะคนแรก ๆ หลังจากนั้นก็ยืนชิดติดกัน ซึ่งแทนที่จะได้ผลดี แต่กลับเป็นความเสี่ยงโดยไม่ทันได้นึกถึง ขอบคุณภาพประกอบ Zhang Kenny / unsplash ส่วนที่เป็นผลดี ช่วยในการ Flatten the Curve ก็น่าจะเป็นการห้ามเดินทางข้ามจังหวัด หรือปิดเมือง การต้องกักตัวเองเมื่อต้องเดินทาง หรือการให้งดกินอาหารในร้านอาหาร และให้ซื้อกลับไปกินเท่านั้น เพราะเมื่อลดการเคลื่อนที่ของคนได้ ก็เท่ากับว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสจากคนสู่คนนั้นก็จะลดลง สิ่งเหล่านี้น่าจะทำให้มองเห็นตัวเลขของผู้ติดเชื้อไปในทิศทางที่ดีขึ้น หรือลดลงนั่นเอง ขอบคุณภาพประกอบ Tedward Quinn / unsplash อย่างหนึ่งที่เราจะพอมองเห็นได้ชัดคือคนไทยเราล้างมือกันมากขึ้น และสวมหน้ากากอนามัยกันอย่างจริงจัง เพราะเกิดการตื่นตัวจากข่าวสารทาง Social Media และจากการรณรงค์อย่างต่อเนื่องของหลายหน่วยงาน ยิ่งการทำ Social Distancing ได้ผลมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดึงสถิติของตัวเลขของผู้ติดเชื้อให้น้อยลงเท่านั้น ผู้ติดเชื้อน้อยลง ความเสี่ยงก็น้อยลง ก็จะวนกลับไปที่เป็นการลดภาระของระบบสาธารณสุข ทุกอย่างสอดรับเกื้อหนุนกัน วิกฤตการณ์ครั้งนี้เหลือทางเลือกให้เราเพียงทางเลือกเดียว คือทุกคนต้องร่วมมือกัน ช่วยกัน ดูแลกัน เพื่อที่สังคมจะได้กลับมาเป็นสังคมที่น่าอยู่ และเราทุกคนก็จะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเหมือนเดิม ขอบคุณภาพปก cottonbro / pexels.com