ในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและมีโรคระบาดแบบนี้ รายได้หดหายแต่ยังมีหนี้สินที่ต้องจ่ายอยู่ทุก ๆ เดือน และภาระผ่อนรถยนต์เป็นหนี้ที่หลายคนอาจจะต้องเผชิญ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่เคยเคยตัดสินใจผิดพลาดเกี่ยวกับการปล่อยให้รถโดนยึดครับ Karolina Grabowska จาก Pixabay" /> ขอขอบคุณภาพจาก Karolina Grabowska จาก Pixabay - เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ผมไม่สามารถผ่อนชำระค่างวดรถต่อไปได้ ตามกฏแล้วไฟแนนซ์สามารถยึดรถเราได้เลยหากขาดส่งเกิน 3 เดือน แต่ทางไฟแนนซ์เห็นว่าผมมียอดคงค้างอีกแค่ประมาณ 1 แสนบาท จึงโทรมาให้ผมผ่อนต่อไป แต่ช่วงนั้นผมเองไม่มีกำลังส่งต่อแล้วจึงค้างส่งมาเรื่อย ๆ จนเข้า 6 เดือน ทำให้ไฟแนนซ์จำเป็นต้องมายึดไปตามระเบียบ หลังจากยึดไปแล้วไฟแนนซ์แจ้งว่าจะนำรถไปขาย หากขายได้ราคาถึง 1 แสนบาทผมก็ไม่ต้องจ่ายค่าส่วนต่าง แต่จากที่สอบถามผู้ที่เคยมีประสบการณ์เดียวกัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เค้าจะขายรถเราได้เกินยอดคงค้างของเรา จริง ๆ แล้วในขั้นตอนที่ไฟแนนซ์นำรถไปประมูลขาย คุณสามารถขอดูได้ว่ามีกี่เต็นท์ที่ประมูล และให้ราคาเท่าไหร่ หากที่ไหนให้เยอะคุณก็จะได้จ่ายส่วนต่างน้อยลง แต่ความผิดพลาดของผมก็เกิดขึ้นคือผมไม่สนใจเลย คิดว่ายึดไปแล้วก็จบ ๆ ไป ภาพโดย Holger Langmaier จาก Pixabay - หลังจากวันที่ถูกยึดรถไป 2 เดือน ทางไฟแนนซ์ก็โทรมาแจ้งว่าหลังจากขายรถไปแล้ว ยังขาดอยู่อีก 8,000 บาท ความผิดพลาดของผมก็เกิดขึ้นอีกครั้งคือ ยอด 8,000 บาทนี้มันไม่มีดอกเบี้ย ผมก็คิดว่างั้นเดี๋ยวมีค่อยไปจ่ายก็ได้ เอาเงินไปจ่ายหนี้ก้อนอื่นที่ดอกเบี้ยแพงดีกว่า (ความคิดที่เกิดขึ้นจากความโง่เขลา 555) ผมเลยปล่อยยอด 8,000 บาทนั้นไว้เป็นปีโดยไม่สนใจมันเลย ไฟแนนซ์โทรมาก็ไม่คุยเพราะคิดแค่ว่าเดี๋ยวขอจบหนี้ก้อนอื่นก่อนค่อยไปจ่าย สุดท้ายวันชี้ชะตาก็มาถึงเมื่อทางไฟแนนซ์ส่งหนังสือมาว่า "เตือนครั้งสุดท้าย" กับยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า !!!! - ไฟแนนซ์ส่งหนังสือทวงหนี้ครั้งสุดท้ายมาด้วยข้อความที่ว่า ส่วนต่างจากการขายรถที่ขาดไป 19,907 บาท (อ้าวตอนแรกไหนว่า 8,000 หลังจากสอบถามไปคือ 8,000 บาทนั้นคือยอดที่ทางไฟแนนซ์ลดให้พิเศษเพื่ออยากให้เราจบหนี้) และมีค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถ 123,925 บาท ค่าใช้จ่ายในการติดตาม 23,000 บาท ค่าภาษี 3,468 บาท รวมเป็นเงิน 170,299 บาท โอ้ว..พระสงฆ์ ให้ตายสิ จากเงิน 8,000 กลายเป็นแสนเจ็ด ตอนนั้นคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะเอายังไงดี รอช้ากว่านี้คงโดนฟ้องแน่ ๆ - ผมเคยได้ยินมาคำนึง และใช้มาจนถึงทุกวันนี้ว่า "ทุก ๆ อย่างสามารถเจรจาได้" เลยลองตัดสินใจไปคุยกับไฟแนนซ์อีกครั้งว่าขอจ่ายยอดเดิมได้ไหม 8,000 บาท ทางไฟแนนซ์แจ้งว่าเงินต้นจริง ๆ คือ 19,907 บาทนะคะ ผมเลยบอกว่าลดให้ผมได้เท่าไหร่ ตื้อไปตื้อมา เหลือ 15,000 บาท และให้เวลา 1 เดือนในการหามาจ่าย แต่หลังจากคุยกับไฟแนนซ์ได้ 2 วัน ผมก็หามาจนได้ 13,000 บาท เลยขอไฟแนนซ์ว่าผมจะจ่ายเลยวันนี้ แต่ขอจ่าย 13,000 ได้ไหม สุดท้ายแล้วไฟแนนซ์ยอมจบที่ 13,000 บาท โอ้ว...คำว่า ทุกอย่างเจรจราได้ เป็นเรื่องจริงแฮะ ถึงจะแอบภูมิใจที่เจรจาได้สำเร็จ แต่ก็อยากตบกระบานตัวเองที่ไม่ยอมจ่าย 8,000 แต่แรก . ภาพโดย Free-Photos จาก Pixabay - สุดท้ายผมคิดว่าหากเราผ่อนรถต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ แนะนำว่าให้ทำเรื่องคืนรถไปเถอะ ความเสียหายมันต่างกับที่ให้ไฟแนนซ์มายึดไปเยอะเลย แต่ถ้าใครถึงจุดที่ยึดไปแล้วก็รีบจ่ายค่าส่วนต่างไปเถอะครับ อย่าให้เรื่องยืดเยื้อจนยอดมันไปไกลแบบผมเลย แต่ถ้าหากไปถึงจุดที่เค้าฟ้องศาลไปแล้ว ทางออกสุดท้ายคือคุณต้องไปศาลเท่านั้นนะครับ อย่าเด็ดขาดที่จะไม่ไป เพราะหากเค้าฟ้องมา 2 แสนคุณก็จะถูกตัดสินแพ้คดีและต้องใช้หนี้ 2 แสนเลย แต่หากไปศาล อาจจะลดลงมาถึงครึ่ง หรือมากกว่า ผมเล่าประสบการณ์ความผิดพลาดครั้งนี้เพื่อให้ทุกคนไม่ต้องผิดพลาดแบบผม สวัสดีครับ...