เมื่อความเหนื่อยล้าสะสมมาจนถึงขีดสุด หลายคนอาจพยายามแก้ไขภาวะ Burnout ด้วยสัญชาตญาณ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และนำไปสู่ความทรุดโทรมทั้งทางกายและใจที่หนักขึ้นกว่าเดิม เพราะความพยายามเหล่านั้น ขัดแย้งกับสิ่งที่ร่างกายและจิตใจต้องการอย่างแท้จริง ถ้าคุณกำลังรู้สึกหมดไฟ และยังคงทำสิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงเหล่านี้อยู่ โปรดหยุด! เพราะนี่คือ "7 สิ่งต้องห้าม" ที่ทำลายความสมดุลของคุณโดยไม่รู้ตัว 1. ดื่มกาแฟหนักขึ้น เมื่อรู้สึกสมองตื้อ สิ่งแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะทำก็คือ การเพิ่มปริมาณ คาเฟอีน อย่างไม่บันยะบันยัง เพื่อสั่งให้ร่างกายพยายาม 'สู้' ต่อ แต่ในภาวะ Burnout ร่างกายของเราไม่ได้ต้องการสารกระตุ้นขนาดนั้น มันต้องการ การพักผ่อนและการฟื้นฟู ต่างหาก การเติมคาเฟอีนหนัก ๆ เป็นแค่การหลอกตัวเองให้เชื่อว่า 'ฉันได้เติมพลังงานแล้ว' ซึ่งนั่น เป็นการรบกวนวงจรการนอนหลับตามธรรมชาติ และเมื่อถึงช่วงเวลาที่เราต้องการพักจริง ๆ ก็จะยิ่งนอนไม่หลับ ทำให้วงจรความเหนื่อยล้าเป็นไปอยู่อย่างนั้นไม่จบไม่สิ้น 2. ตั้งตารางงานแบบแน่นเป๊ะ 100% ในภาวะที่รู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ หลายคนอาจพยายามกลับไปควบคุมทุกอย่างด้วยการ สร้างตารางเวลา ที่แน่นเอี๊ยด และสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อหวังจะไปให้ถึงปลายทาง แต่สิ่งนี้กลับเป็นการ สร้างภาระทางจิตใจ ที่หนักขึ้นกว่าเดิม เมื่อร่างกายเราทำไม่ได้ตามตารางที่วางไว้ เสียงวิจารณ์ภายใน (Self-Criticism) จะดังขึ้นทันที ทำให้เราเกิดความรู้สึกผิด และล้มเหลว อย่างรุนแรง การตั้งเป้าหมายที่ ยืดหยุ่น ต่างหาก คือสิ่งจำเป็นสำหรับจิตใจที่อ่อนล้า 3. ตอบอีเมลและข้อความทันที (แม้ในเวลาพัก) การตอบสนองต่อทุกการแจ้งเตือน แม้กระทั่งนอกเวลางาน(ที่เรารัก) เป็นพฤติกรรมที่ทำลาย ขอบเขต ระหว่าง ชีวิตส่วนตัว กับ การทำงาน การทำเช่นนี้ทำให้สมองและจิตใจไม่เคยได้เข้าสู่โหมดพักผ่อนอย่างสมบูรณ์แท้จริง เพราะสิ่งนี้หมายถึง เราได้ส่งสัญญาณให้สมองจดจำแล้วว่า "งานสำคัญกว่าการฟื้นฟูตัวเอง" การให้ความสำคัญกับงานตลอด 24 ชั่วโมง จึงถือเป็นทางลัดสู่ความอ่อนล้าทั้งทางอารมณ์และร่างกายที่รุนแรงที่สุด 4. เที่ยว/ปาร์ตี้หนักเพื่อ "ชาร์จพลัง" หลายคนคิดว่าการปลดปล่อยความตึงเครียดด้วยกิจกรรมที่ตื่นเต้น หรือดื่มหนัก ในวันหยุด คือการได้เติมพลังหลังเหนื่อยจากงาน โดยเฉพาะในฤดูที่อากาศเย็นสบายใกล้ช่วงเทศกาลสิ้นปีแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกอยากสังสรรค์แบบสุดเหวี่ยง แต่การพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ สำหรับคนที่ใกล้หมดไฟคือ การ ฟื้นฟู ไม่ใช่การ หลีกหนี การหักโหมเที่ยว หรือปาร์ตี้อย่างหนัก อาจช่วยให้ลืมงานได้ชั่วคราว แต่มันก็อาจทำให้ร่างกายเราเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้นไปอีกได้เช่นกัน และเมื่อความเหนื่อยล้าทางกายถึงขีดสุด จิตใจของเรานั้นก็จะยิ่งอ่อนแอลง การสังสรรค์แต่พอดี คือแนวทางที่พอเหมาะที่จะช่วยให้เราได้ชาร์จพลังอย่างมีความสุข 5. เปรียบเทียบตัวเองกับความสำเร็จของคนอื่น การไถฟีดโซเชียลมีเดียเพื่อหาแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของคนอื่น ในขณะที่เรากำลัง Burnout คือการทำร้ายจิตใจตัวเองซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะมันจะกระตุ้นเสียงวิจารณ์ในหัวให้รุนแรงขึ้นทันที สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และยังไร้ความสามารถกว่าคนพวกนั้น อีกด้วย การเปรียบเทียบทำให้คุณมองไม่เห็นความก้าวหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตัวเองทำได้ และจะยิ่งทำให้ ถลำลึกสู่ความรู้สึกหดหู่ ไปจนถึง ไม่รู้คุณค่าของตัวเอง เราควรเปลี่ยนการเปรียบเทียบนั้น เป็นการแสดงความชื่นชมในความสำเร็จ หรือใช้มันเป็นแรงบันดาลใจ จะดีกว่า 6. พยายามจบปัญหาด้วยตัวคนเดียว การพยายามแบกรับปัญหาไว้คนเดียวทั้งที่รู้ว่าเกินกำลัง เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในการทำงานกับส่วนรวม อาจเพราะจากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า การขอความช่วยเหลือคือความอ่อนแอ แต่การฝืนทำในสิ่งที่เห็นแล้วว่าทำไม่ได้ นอกจากจะทำให้ปัญหานั้นส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงานแล้ว ยังทำให้ตัวเรารู้สึกกดดันและเครียดมากขึ้นด้วย ซึ่งนั่นเลวร้ายยิ่งกว่า การยอมรับว่าเราแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย การตัดสินใจ ปรึกษา หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน และ ขอความช่วยเหลือ เมื่อรู้สึกหมดหนทาง คือทางออกที่ดีที่สุดที่จะช่วยรักษาสภาพจิตใจของเราไว้ และยังเปิดโอกาสให้เราได้รับรู้ถึงคุณค่าความสัมพันธ์อีกด้วย 7. ระบายความรู้สึกใส่คนรอบข้าง เป็นเรื่องปกติที่การทำงานจะทำให้รู้สึกเครียดและต้องการระบาย แต่การบ่น การโวยวาย หรือการแสดงถึงอารมณ์ส่วนตัวที่มากเกินไป กับเพื่อนร่วมงาน อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม เพราะทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องอดทนและจัดการกันอยู่แล้ว การเรียกร้องความเข้าใจในลักษณะนี้ อาจทำให้เราสูญเสียมากกว่าได้—พื้นที่ปลอดภัยทางสังคมที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูความรู้สึก หากต้องการระบายความเครียด ควร สื่อสารอย่างมีสติ และรับฟังผู้อื่นไปพร้อมกัน ในระดับที่พอเหมาะพอดี เพื่อที่จะสามารถ รักษาสมดุลทางอารมณ์ ร่วมกันได้ การจะหลุดพ้นจากภาวะ Burnout ได้อย่างแท้จริง ต้องเริ่มจากการ หยุดทำสิ่งที่เคยชินเหล่านี้ ให้ได้เสียก่อน การเยียวยาที่ดี คือการอนุญาตให้ตัวเอง มีสิทธิ์ ได้พักอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีความรู้สึกผิดมาบงการ และเมื่อคุณกล้าที่จะหยุดพฤติกรรมต้องห้ามเหล่านั้นได้จนสำเร็จ นั่นหมายถึง คุณได้เริ่มต้นการรักษาสมดุลของร่างกายและจิตใจเพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืนของตัวคุณเองแล้ว แหล่งที่มาของภาพ: ภาพปก: Photo by Andrea Piacquadio: https://www.pexels.com/ / Canva ภาพประกอบที่ 1: Photo by Cyril Saulnier on Unsplash ภาพประกอบที่ 2: Photo by RDNE Stock project: https://www.pexels.com ภาพประกอบที่ 3: Photo by Jakub Żerdzicki on Unsplash ภาพประกอบที่ 4: Photo by Aleksandr Popov on Unsplash ภาพประกอบที่ 5: Photo by Melyna Valle on Unsplash ภาพประกอบที่ 6: Photo by Anna Shvets: https://www.pexels.com ภาพประกอบที่ 7: Photo by Jan Kopřiva: https://www.pexels.com #Burnout #การทำงาน #สุขภาพ #WorkLifeBalance #จัดระเบียบชีวิต #กายใจ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !