ไม่ว่าใครก็อยากจะเป็นคนโชคดี แต่เชื่อมั้ยว่า..โชค ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสุ่มหรือดวงเสมอไป บางครั้งเราฝึกฝนตัวเองให้เกิดโชคเข้าข้างเราได้เหมือนกัน ครีเอเตอร์เรียกว่าปัจจัยที่เราควบคุมได้ หนังสือเล่มนี้พยายามบอกกับเราในแง่นั้น โดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับ โดยหมอผิง พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล จะมาอธิบายให้เข้าใจง่าย และเชื่อถือได้ ในฐานะที่ตัวคุณหมอผ่านความสำเร็จมาแล้วหลายด้าน ทั้งผู้บริหารโรงพยาบาล นักจัดรายการ Podcast อย่าง Single Being รวมถึงความสำเร็จในฐานะนักเขียนหนังสือให้ความรู้ แล้วเราจะมองเรื่องของโชคเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์สมองมากขึ้น ความรู้ความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ 1.เชื่อว่าทุกคนเคยมีความคิดว่า “รู้งี้น่าจะ...” ไม่ว่าจะเป็น ตอนเห็นราคาหุ้นตัวที่ไม่ได้ซื้อไว้พุ่งทะยาน ตอนเกิดอุบัติเหตุ รถชน แล้วพบว่ายังไม่ได้ต่อประกันรถ หรือแม้แต่ตอนไม่พก ร่มไปเที่ยว แล้วฝนเทลงมา คนเรามักมีแนวโน้มจะมองย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วโทษตัวเองที่ตัดสินใจผิดพลาดในตอนนั้น ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร ซึ่งในทางจิตวิทยา เรียกว่า “อคติจากการมองย้อนหลัง (Hindsight Bias)” ยิ่งความผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องใหญ่เพียงใด อคติจาก การมองย้อนหลังก็จะยิ่งสร้างบาดแผลให้เรารู้สึกผิดหวังในตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แต่คนโชคดีจะไม่เสียเวลากับคําว่า “รู้งี้” เพราะรู้ว่า ความคิดแบบนั้นไม่มีทางเปลี่ยนอดีตได้ ทั้งยังลดทอนพลังใจด้วย นี่จึงเป็นคําพูดต้องห้ามในหมู่คนโชคดี 2.ในทางจิตวิทยา ความเชื่อที่ถูกต้องและหนักแน่นจะกำหนดความคิดและการกระทำของเราให้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ปรารถนา หรือที่เรียกว่า “ปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง (Self-fulfilling Prophecy)” โดยในที่นี้จะขอแนะนำเทคนิคที่หมอใช้ประจำเรียกว่า “Manifestation” เป็นการมุมานะสร้างสิ่งที่อยู่ในจินตนาการให้กลายเป็นความจริง ซึ่งทำได้หลายวิธี 2.1.จินตนาการภาพ 2.2.เขียนบรรยายความสำเร็จ 3.สมองของเรามีกลไกที่น่าสนใจมาก เรียกว่า Reticular Activating System (RAS) ซึ่งเปรียบเสมือน “เรดาร์ในหัว” ที่ทำหน้าที่คัดกรองว่าถ้าเราสนใจเรื่องไหน สมองก็จะบันทึกไว้ ส่วนเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญ กลไกนี้ก็จะตัดทอนเรื่องนั้นออกไปจากสมอง ในแต่ละวัน สมองได้รับข้อมูลหลายล้านเรื่อง ถ้าเรามีเป้าหมายที่อยากจะทำสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ แต่เผลอหันไปสนใจเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมากๆ สมองก็จะให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านั้นแทน 4.ทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคมกล่าวว่า มนุษย์เรามักเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ซึ่งมีทั้งแง่บวกและแง่ลบ ถ้าเราเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นในแง่ลบ ก็จะเป็นการกระตุ้นสมองส่วนอมิกดาลา ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกลัว ความระแวงและความกดดัน ทำให้เราคิดอะไรไม่ออก เครียดง่าย และรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่คนโชคดีจะรู้วิธีฝึกสมองให้เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในแง่บวก แทนที่จะริษยาเวลาเห็นคนอื่นได้ดี พวกเขากลับมองว่า “ถ้าคนอื่นเติบโตได้ เราก็ทำได้” หรือถึงขั้นมองว่า“อยากให้คนอื่นเก่งขึ้น เราจะได้มีแรงบันดาลใจไปด้วย”แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคู่แข่งของเราก็ตาม ซึ่งจะกระตุ้นสมองส่วนพรีฟรอนทัลคอร์เทกซ์ที่ช่วยในเรื่องการวางแผนและการมองการณ์ไกล 5.ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคนที่ได้แต่ฝันว่าอยากเขียนหนังสือกับคนที่ทำให้ผลงานของตัวเองได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ ไม่ใช่พรสวรรค์ พื้นฐานการศึกษา สติปัญญาหรือความสามารถทางภาษา แต่เป็นการลงมือทำ ใช้ความอึดแบบมีชั้นเชิง และทำซ้ำๆ จนกว่าจะสำเร็จ 6.GRIT เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาที่ถูกหยิบยกมาเขียนถึงจนโด่งดังไปทั่วโลกโดย ดร.แองเจลา ลี ดักเวิร์ธ ซึ่งกล่าวถึงสูตรแห่งความสำเร็จที่เหนือกว่าความฉลาด หลายคนเกิดมามีไอคิวสูงหรือมีพรสวรรค์ทางกีฬา แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดฝัน ตรงกันข้ามกับบางคนที่เกิดมามีไอคิวไม่สูงเท่าหรือมีพรสวรรค์ทางกีฬาติดตัวมาน้อยกว่า ซึ่งแองเจลาเชื่อว่า ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่า GRIT ก็กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จกว่าได้ 7.การฝึกให้มี GRIT เป็นการฝึกความแข็งแรงของสมองส่วนพรีฟรอนทัลคอร์เทกซ์ ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมตัวเอง ตัดสินใจ วางแผน และสร้างแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง นี่เป็นทักษะที่ฝึกให้แข็งแรงขึ้นได้ เหมือนกับเวลาที่เราฝึกยกน้ำหนักไปเรื่อยๆ จนสร้างกล้ามเนื้อได้ 8.หนทางที่จะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น แต่เป็นการวิ่งมาราธอนที่ใช้เวลานาน ความอึดจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ ซึ่งความอึดในแบบของ GRIT นั้นเป็นการฝึกทำสิ่งที่เราชอบซ้ำๆ แม้บางครั้งจะล้มเหลวก็ลุกขึ้นมาทำต่อไปเหมือนกับตุ๊กตาล้มลุก 9.“การทำซ้ำ” ในที่นี้ไม่ใช่การเลียนแบบสิ่งที่ทำไปแล้ว แต่เป็นการทำซ้ำแบบมีกลยุทธ์ นั่นคือ ตั้งเป้าให้ชัดเจนว่าต้องการทำซ้ำเพื่อแก้ไขเรื่องไหน มีการประเมินผลเพื่อระบุจุดอ่อนที่ควรปรับปรุง และกล้าที่จะออกจากพื้นที่ปลอดภัยเพื่อการเติบโต 10.ทุกวันนี้ประเด็นเรื่อง“ความเครียดเล็กๆ (Micro Stress)” กำลังเป็นที่พูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น ความกังวลเมื่อมีสายตาของเพื่อนร่วมงานที่มองมา ความไม่สบายใจเมื่อที่ทำงานประชุมเกินเวลา หรือการที่เพื่อนมาไม่ทันนัดบ่อยๆ ทำให้กำหนดการที่วางไว้ล่าช้า มองเผินๆ ความเครียดเล็กๆ เหล่านี้อาจไม่มีพิษภัยร้ายแรงเท่าไหร่ แต่ถ้าปล่อยให้มันสะสมไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง และกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ร่างกายอาจเริ่มแสดงอาการผิดปกติอย่างนอนไม่หลับ ปวดหัวเรื้อรัง หรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่วนทางจิตใจ ความเครียดสะสมอาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟ ซึมเศร้าหรือวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทำให้เราหงุดหงิดง่าย ไม่มีความสุขกับสิ่งที่เคยชอบ และสูญเสียความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีสติจนกลายเป็นวงจรแห่งความทุกข์ไม่รู้จบ 11.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็น “คนมีความสุข” ไม่ใช่สถานะทางสังคมหรือความสำเร็จในอาชีพ แต่กลับเป็น “ความสัมพันธ์ในชีวิต" คนที่รู้จักรักษาความสัมพันธ์ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง หรือคู่ชีวิต จะมีค่าดัชนีความสุขในชีวิตสูงมาก หรือแม้จะเจอใครที่คบหาแล้วทำให้จิตใจย่ำแย่ ก็จะกล้าก้าวออกมาจากจุดนั้น 12.ต้องยอมรับว่าคนบางคนมีความพิเศษตรงที่ไม่ว่าจะไปไหนก็ได้รับความเอ็นดู มีคนชื่นชอบและพร้อมสนับสนุน ส่งผลให้ทำอะไรก็เติบโตในหน้าที่การงานแบบก้าวกระโดด คิดว่าปัจจัยที่ทำให้บางคนเป็นที่ชื่นชอบนั้นคืออะไรกันแน่...ความเก่ง โชคดี หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดให้พรหรือเปล่า งานวิจัยจากสิงคโปร์ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษา 80 คน พยายามเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นที่ชื่นชอบระหว่างประสิทธิภาพในการทำงาน (Competence) กับความน่าคบหา (Likability) แล้วพบว่าความน่าคบหาเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คนชอบมากกว่าประสิทธิภาพในการทำงานถึง 2 เท่า 13.ในโลกของธุรกิจก็เช่นกัน เวลาบริษัทสตาร์ตอัพจะขอเงินทุนจากนักลงทุน ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ไม่ได้มีแค่การพิจารณาเรื่องผลประกอบการของบริษัทหรือแนวโน้มตลาด แต่ยังรวมถึงบุคลิกและความน่าคบหาของผู้ก่อตั้ง โดยคนที่มีบุคลิกเปิดเผยและเต็มไปด้วยพลังมีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จสูงกว่าคนเก็บตัวและมีท่าทางห่อเหี่ยว 14.ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบใครสักคนเมื่อแรกพบเกิดจากการทำงานของสมองหลายส่วน แต่สมองส่วนที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์บัญชาการควบคุมความชอบของเราคือ Medial Prefrontal Cortex (mPFC) ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลกับสมองส่วนความจำ ส่วนควบคุมอารมณ์ และส่วนที่แสวงหาความสุขและความพึงพอใจ เพื่อประมวลผลออกมาว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบคนตรงหน้า โดยยังไม่ทันได้ใช้เหตุผลในการกลั่นกรองสักเท่าไหร่ 15.หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวว่า “รักตัวเองไม่เจ็บเลยสักวัน”แม้เป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แล้ว แต่ในทางปฏิบัติเราก็อาจไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้เท่าที่ควร ยกตัวอย่างคนที่มักมองว่าตัวเองโชคร้าย ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ พอลองพิจารณาลึกๆ แล้ว หลายครั้งความ “โชคร้าย” นั้นก็มาจากการที่เขายังรักตัวเองไม่มากพอ 16.การรักตัวเองน้อยไปก็คือการที่เราไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ กลัวว่าจะทำผิดพลาดเลยยกให้คนอื่นเป็นคนตัดสินใจแทน ถ้าคนอื่นบอกว่าสิ่งนี้ดี ก็จะทำตามนั้น แต่ถ้าคนอื่นไม่เห็นด้วย ต่อให้เป็นสิ่งที่ชอบ คนที่ไม่ค่อยรักตัวเองก็จะไม่กล้าทำ เพราะกลัวโดนสังคมตัดสิน กลายเป็นว่าเราเอาความสุขไปผูกกับคนอื่น ลงมือทำเพราะคนอื่นเห็นดีเห็นงาม แทนที่จะลงมือทำเพื่อคว้าสิ่งต่างๆ ด้วยความตั้งใจจริงของตัวเอง คนที่เป็นแบบนี้จะไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ และกลัวสายตาคนอื่นไปหมด จึงยากที่จะทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จ ทำให้ดูเผินๆ ก็เหมือนโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดให้มีแต่“โชคร้าย” 17.งานวิจัยทางประสาทวิทยาพบว่า เมื่อเรารักตัวเอง มันจะกระตุ้นกิจกรรมในสมองส่วนพรีฟรอนทัลคอร์เทกซ์ ส่งผลให้เกิดการตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้นและมีความสมดุลทางอารมณ์ ทั้งยังช่วยลดกิจกรรมในสมองส่วนอมิกดาลาที่ส่งผลให้เราเกิดความกลัวและความวิตกกังวล 18.วิธีรักตัวเอง ตระหนักรู้ในตัวเอง (self-awareness) เข้าใรอารมณ์ตัวเอง รู้จุดแข็ง-จุดอ่อน ไม่ถูกชักจูงง่ายๆ รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง (self-worth) ไม่ให้คำวิจารณ์มาทำลายความรู้สึก แม้จะล้มเหลวก็รู้สึกว่ายังควรได้รับโอกาสดีๆ นับถือตัวเอง (self-esteem) เชื่อมั่นในความสามารถ กล้าตัดสินใจ ฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้ ในบางแง่มุมที่เราอ่าน เราอาจรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด มันเป็นเรื่องที่เรารู้อยู่แล้ว และกำลังพยายามให้ตัวเองเป็นคนโชคดีในเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน ความรัก ด้วยซ้ำ นี่มันก็เป็นแค่การนำงานวิจัยทางการแพทย์มาแปลและบอกเล่าผ่านหนังสือเฉยๆกระมัง.. แต่อีกมุมหนึ่ง มันอาจเป็นสิ่งที่เราขาดความสม่ำเสมอ ขาดวินัย และขาดความความชัดเจนถึงสิ่งที่เราปรารถนาก็ได้ อย่าลืมว่าสิ่งที่เราต้องการต้องชัดเจน มีระยะเวลาที่กำหนดได้ และไม่ล้มเลิกกลางคันไปเสียก่อน เครดิตภาพ ภาพปก โดย Arek Socha: จาก pexels.com ภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียน ภาพที่ 3 และ 4 โดย Gemini บทความอื่นๆที่น่าสนใจ รีวิวหนังสือ ไต่ระดับลับสมอง ด้วยคำถามเชิงตรรกะ รีวิวหนังสือ ULTIMATE SKILLS ทักษะจำเป็นแห่งอนาคต รีวิวหนังสือ 15 INVALUABLE LAWS OF GROWTH เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !