ในหลายๆโรงเรียนระดับประถมศึกษาเริ่มจะแยกห้องเรียนออกเป็นห้องเรียนโครงการต่างๆคล้ายกับระดับมัธยมกันบ้างแล้ว ห้องเรียนโครงการหรือห้องพิเศษแต่ละโรงเรียนจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับการจัดการหลักสูตรของผู้บริหารหรือผู้ดูแลโครงการนั้นๆห้องโครงการนอกจะจะมีการเรียนการสอนที่เข้มข้นกว่าห้องเรียนทั่วไปแล้วยังมีอัตราค่าเรียนที่สูงกว่าอีกด้วย แต่ส่วนใหญ่ในระดับประถมก็จะมีแค่แยกเป็นห้องเรียนเน้นวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ หรืออาจจะเน้นภาษาอังกฤษเป็นหลักเท่านั้น การจะเข้าห้องโครงการเหล่านี้ได้ก็ต้องมีการสอบเข้า โดยส่วนใหญ่แล้วจะมี 2 ช่วงชั้นคือ ชั้น ป.1 - ป.3 กับช่วงชั้น ป.4 - ป.6 ซึ่งแต่ละโรงเรียนก็แตกต่างกันออกไป แล้วเราจำเป็นต้องเรียนห้องเรียนพิเศษไหม ? เคยมีคำกล่าวว่า “ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับหนังสือที่คุณอ่าน บ้านที่คุณอยู่ ผู้คนที่คุณพบ” ดังนั้น หากอยากเป็นคนเก่งก็ต้องพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่มีคนเก่ง โดยส่วนมากเด็กที่เรียนอยู่ในห้องโครงการมักจะเป็นเด็กที่มีความตื่นตัวด้านการเรียนค่อนข้างสูง หากเราอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เรียงรายไปด้วยคนเก่งและให้ความสำคัญกับการเรียนเราก็จะปรับตัวให้เป็นเหมือนเขาด้วยโดยปริยาย เล่าจะประสบการณ์ของผู้เขียน ในชั้นประถมต้นผู้เขียนปล่อยให้ลูกเรียนแบบสบายๆให้เขาได้ใช้ช่วงเวลาของการเป็นเด็กประถมให้เต็มที่ และเริ่มต้นเข้าสู่ระบบติวตอนอยู่ชั้นประถมปีที่ 3 เพื่อสอบเข้าห้องโครงการในช่วงชั้นประถมปลาย คือประถมปีที่ 4 ถึงปีที่ 6 ผู้เขียนเลือกให้ลูกเรียนในโรงเรียนห้องโครงการที่เน้นด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นหลัก จุดประสงค์ที่อยากให้ลูกเรียนห้องโครงการเนื่องจาก ห้องโครงการที่เลือกจะเป็นห้องโครงการที่เน้นการเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นวิชาหลักๆในการสอบเข้าคณะที่มีการแข่งขันสูง อีกเหตุผลหนึ่งก็คืออยากให้ลูกอยู่ในหมู่เด็กที่ตั้งใจเรียน สภาพแวดล้อมจะทำให้เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นและตั้งใจเรียนตามไปด้วย นอกจากวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แล้ว ภาษาอังกฤษก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เดิมทีผู้เขียนคิดว่าภาษาอังกฤษไม่ได้สำคัญมากนักสำหรับการเข้าสู่คณะแพทย์ค่อยไปเรียนเพิ่มเติมทีหลังได้ หรือเรียนแค่ให้พอรู้และเอาตัวรอดให้ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ปรากฏว่าวิชาอังกฤษมีผลเป็นอย่างมากในการเป็นใบเบิกทางสำหรับการเข้าสู่คณะแพทย์ให้ได้ง่ายขึ้นโดยมีหลายๆโครงการของมหาวิทยาลัยในการรับนักเรียนเข้าสู่คณะแพทย์ที่เน้นทักษะภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่น “โครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ” ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ “โครงการภาษาอังกฤษและดิจิตอล” ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และอีกหลายๆมหาวิทยาลัย ก็ต้องการผลคะแนนการสอบ IELTS หรือ TOEFL โดยมีการระบุเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำอีกด้วย นอกจากนี้ในอีกหลายๆมหาวิทยาลัยยังต้องการผลคะแนน BMAT มาใช้เป็นเกณฑ์หลักในการคัดนักเรียนเข้าสู่คณะแพทย์ กล่าวโดยสรุปก็คือ ช่วงวัยประถมเป็นช่วงที่สำคัญมาก สภาพแวดล้อมด้านการเรียนมีความสำคัญมาก หากเราเตรียมความพร้อมตั้งแต่เนิ่น ๆ เติมเต็มศักยภาพพื้นฐานให้มั่นคงเมื่อเด็กเข้าสู่ระดับมัธยมเขาก็จะได้ไม่ต้องเรียนหนักเพราะมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว ผู้อ่านต้องประเมินความพร้อมของลูกว่าอยู่ระดับใด และจำเป็นแค่ไหนกับการเรียนห้องโครงการ จริงๆแล้วการเรียนห้องโครงการก็ไม่ได้เครียดหรือเรียนหนักมากจนน่ากลัว หากเราเตรียมความพร้อมให้เด็กโดยการฝึกฝนวินัยและการเรียนรู้มาตั้งแต่แรก พื้นฐานในวัยประถมนี้จะทำให้เขาเรียนในช่วงชั้นมัธยมได้ง่ายขึ้นและมีความสุขกับการเรียนมากขึ้นนั่นเอง สำหรับผู้อ่านที่มีความฝันและมีเป้าหมายเช่นเดียวกับผู้เขียน บทความนี้เป็นบทความที่สามแล้วต่อจากตอนแรกคือ พื้นฐานประถมวัยสู่อาชีพการเป็นหมอและ เรียนพิเศษในวัยประถมจำเป็นแค่ไหน ? อยากให้ผู้อ่านกดติดตามผู้เขียนไว้ เพราะยังมีเรื่องราวอีกมากมายและเทคนิคของการปั้นลูกสู่อาชีพหมอที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปโดยทั้งหมดเขียนขึ้นจากประสบการณ์จริง จนสามารถไปยังเป้าหมายที่วางไว้ได้และผู้เขียนก็เชื่อมั่นว่าผู้อ่านก็สามารถทำได้หากวางแผนที่ชัดเจนและมีความมุ่งมั่นตั้งใจจริงครับ เครดิตภาพ :รูปภาพหน้าปกทำเองจากเว็บไซต์ canva.comภาพประกอบหน้าปกจาก canva.com: ภาพที่ 1 โดย georgedolgikh ,ภาพที่ 2 โดย DAPA Imagesรูปภาพที่ 1 จากเว็บไซต์ canva.comภาพประกอบรูปภาพที่ 1 จาก canva.com: ภาพที่ 1 โดย mediaphotos(gettysignature)รูปภาพที่ 2 จากเว็บไซต์ canva.comภาพประกอบรูปภาพที่ 2 จาก canva.com: ภาพที่ 1 โดย jnemchinova (gettyimages)รูปภาพที่ 3 จากเว็บไซต์ canva.comภาพประกอบรูปภาพที่ 3 จาก canva.com: ภาพที่ 1 โดย dotshockรูปภาพที่ 4 ทำเองจากเว็บไซต์ canva.comภาพประกอบรูปภาพที่ 4 จาก canva.com: ภาพที่ 1 โดย mvltcelik(gettyimages) , ภาพที่ 2 โดย canva เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !