"ทรัมป์" ขีดเส้นตาย 30 วัน สั่งลดราคายา 90% หวังให้คนอเมริกันจ่ายถูกสุดในโลก

"ทรัมป์" ขีดเส้นตาย 30 วัน สั่งลดราคายาในสหรัฐฯสูงสุด 90% หวังให้คนอเมริกันจ่ายถูกสุดในโลก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับใหม่เมื่อวานนี้ (เมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2568 ) โดยกำหนดกำเวลาหรือเส้นตาย 30 วัน ให้บริษัทผู้ผลิตยาต้องลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ในสหรัฐฯ ลงมาเหลือให้เท่ากับประเทศอื่นๆ และจะมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดราคายาอีก หากบริษัทเหล่านั้นไม่มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญไปสู่เป้าหมายดังกล่าว
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวในงานแถลงข่าวว่า รัฐบาลจะบังคับใช้กำแพงภาษีกับบริษัทผู้ผลิตยา หากราคายาในสหรัฐฯ ไม่เท่ากับประเทศอื่นๆ และว่าเขาต้องการลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ลงระหว่าง 59% ถึง 90% พร้อมระบุว่า ทุกคนควรเท่าเทียม ทุกคนควรจ่ายในราคาเท่ากัน
ทั้งนี้รอยเตอร์สระบุว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ราคายาตามใบสั่งแพทย์สูงที่สุดในโลก และส่วนใหญ่จะมีราคามากกว่าที่ชาติพัฒนาแล้วอื่นๆ จ่ายเกือบ 3 เท่า
ขณะที่ข้อมูลจาก Rand Corporation ระบุว่า ยาในสหรัฐมีราคาแพงกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วถึง 2–3 เท่า และบางครั้งอาจมากถึง 10 เท่า
ความพยายามในการลดราคายาครั้งนี้ของประธานาธิบดีทรัมป์จะเกิดขึ้นภายใต้นโยบาย "Most Favored Nation"
โดยประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวในการแถลงข่าวว่า
"สิ่งที่เราทำคือการสร้างความเท่าเทียม โดยเราจะจ่ายราคายาในระดับต่ำสุดในโลก
เราจะหาดูว่าประเทศใดจ่ายราคายาในระดับต่ำสุด ซึ่งนั่นเป็นราคาที่เราต้องการ"
"ประเทศอื่นก็ควรช่วยจ่ายเงินเพื่อการวิจัยและพัฒนาเหมือนกัน เพราะสุดท้าย สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขาเอง"
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวไม่ได้เปิดเผยว่า คำสั่งของทรัมป์ในวันนี้จะมีผลบังคับใช้ต่อยาประเภทใด เพียงแต่ระบุว่าคำสั่งดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กว้างขวางกว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เคยประกาศใช้ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรก ซึ่งบังคับใช้แต่เพียงยาในโครงการ "Medicare Part B"
ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่กล่าวเสริมว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อยาที่มีความเหลื่อมล้ำสูงสุดและมีค่าใช้จ่ายสูงสุด ซึ่งอาจรวมถึงยาลดน้ำหนักและยารักษาโรคเบาหวานที่ได้รับความนิยมที่เรียกว่า ยาในกลุ่ม GLP-1
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า รัฐบาลจะใช้มาตรการดำเนินการต่อบริษัทยาซึ่งไม่เข้ามาเจรจาเพื่อลดราคายาให้แก่ชาวอเมริกัน
เจ้าหน้าที่ระบุว่า คำสั่งฝ่ายบริหารดังกล่าวจะทำให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐและกระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อนโยบายที่ไม่สมเหตุสมผลและเลือกปฏิบัติในต่างประเทศ ซึ่งทำให้ราคายาต่ำอย่างไม่เป็นธรรม พร้อมระบุว่าจะดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศอื่นไม่ได้ทำการเจรจาอย่างไม่เป็นธรรมกับบริษัทยา และเสริมว่า บริษัทยาหลายแห่งต่างตกอยู่ในสภาพถูกกดดัน เนื่องจากพวกเขาต้องเจรจาลดราคายากับรัฐบาล หลายประเทศมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้จ่ายค่ารักษาแต่เพียงผู้เดียว ทำให้มีอำนาจสูงในการต่อรองราคายา
ทั้งนี้คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ยังกำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์จัดทำช่องทางให้ผู้ป่วยชาวอเมริกันสามารถซื้อยาจากผู้ผลิตโดยตรงในราคาของ
"Most Favored Nation Price " โดยที่ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถซื้อยาได้โดยตรงในราคาที่ดีที่สุดจากผู้ผลิต
หลังจากนี้ภายในเวลา 30 วัน นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขฯ ของสหรัฐฯ จะต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการลดราคายาทั้งตลาดในสหรัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การเจรจารอบใหม่ระหว่างทางกระทรวงฯ และอุตสาหกรรมยา และหากยังไม่มีความคืบหน้าเพียงพอในการบรรลุเป้าหมายเรื่องราคา นายเคนเนดี จูเนียร์จะดำเนินการใช้ราคาที่ดีที่สุดผ่านกระบวนการออกกฎระเบียบ
ขณะเดียวกัน คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ยังให้อำนาจสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) พิจารณาเพิ่มการนำเข้ายาจากกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว นอกเหนือจากแคนาดา หลังจากที่ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารปรับปรุงกระบวนการให้รัฐต่าง ๆ สามารถยื่นขอนำเข้ายาราคาถูกจากแคนาดา พร้อมทั้งออกมาตรการอื่น ๆ เพื่อกดดันราคายาในประเทศ
นอกจากนี้คำสั่งฝ่ายบริหารยังกำหนดให้กระทรวงยุติธรรมและคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FTC) ใช้มาตรการเชิงรุกในการจัดการกับพฤติกรรมการผูกขาดที่ทำให้ยามีราคาแพงในสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์ยังสามารถพิจารณาใช้มาตรการจำกัดการส่งออกที่ช่วยให้ยาในต่างประเทศมีราคาลดต่ำลง