ความกลัวว่าจะผิดพลาด คือ การผัดวันประกันพรุ่ง ที่ไม่มีวันสิ้นสุด | บทความโดย ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล ในเส้นทางของการดำเนินชีวิต ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเคยเผชิญกับความรู้สึกที่ฉุดรั้ง ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภารกิจเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่วาดฝันไว้ในอนาคต ความรู้สึกดังกล่าว มักมีรากฐานที่หยั่งลึกมาจากความกลัว ความกลัวที่จะเผชิญกับความล้มเหลว ความกลัวที่จะไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจ ความกลัวที่จะถูกผู้อื่นตัดสิน หรือแม้กระทั่งความกลัวที่จะต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยที่คุ้นเคย ความกลัวเหล่านี้เอง ที่เป็นบ่อเกิดสำคัญของการผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งเมื่อปล่อยปละละเลยให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็จะกลายเป็นวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด คอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยหลายคนยังไม่รู้ว่า การผัดวันประกันพรุ่งนั้นแสดงออกในหลากหลายรูปแบบ บางครั้งมาในคราบของการเสาะหาข้ออ้างต่างๆ นานา เพื่อหลีกเลี่ยงการเริ่มต้นภารกิจที่อยู่ตรงหน้า บางครั้งปรากฏตัวในรูปของการหันไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญเร่งด่วนกว่า เพียงเพื่อให้รู้สึกว่าตนเองกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ หรือในบางครั้งก็มาในรูปแบบของการคิดวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วนจนเกินความจำเป็น เพียงเพื่อที่จะเลื่อนการลงมือทำจริงออกไปอย่างไม่มีกำหนด ไม่ว่ารูปแบบของการผัดวันประกันพรุ่งจะเป็นเช่นไร ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือการที่เราไม่ได้เริ่มต้นลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ และเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ความรู้สึกผิด ความกังวล และความกดดันก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวที่จะผิดพลาดนั้น เปรียบเสมือนโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น แต่กลับมีพลังมหาศาลในการผูกมัดความคิดและการกระทำของเราไว้ มันคอยกระซิบข้างหูอยู่เสมอด้วยถ้อยคำที่บั่นทอนกำลังใจ เช่น "อย่าเพิ่งรีบร้อนเลย เดี๋ยวผลลัพธ์ออกมาไม่ดี" "รอให้ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์แบบกว่านี้ก่อนค่อยเริ่ม" หรือ "ถ้าทำพลาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง" เสียงเหล่านี้จะค่อยๆ กัดกร่อนความมั่นใจในตนเองของเราไปทีละน้อย ทำให้เราสูญเสียความเชื่อมั่นในศักยภาพที่เรามี และในที่สุดก็ยอมจำนนต่ออำนาจของความกลัวนั้น เมื่อความกลัวเข้ามาครอบงำจิตใจ การผัดวันประกันพรุ่งจึงกลายเป็นกลไกการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่งที่เราสร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว โดยเราจะเชื่อว่าการเลื่อนการลงมือทำออกไป จะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดหรือความผิดหวังที่อาจเกิดขึ้นจากการเผชิญหน้ากับความล้มเหลว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การผัดวันประกันพรุ่งนั้นไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆ เลย แต่ตรงกันข้ามมันกลับสร้างปัญหาที่ซับซ้อนและใหญ่กว่าเดิม นั่นคือการที่เราพลาดโอกาสอันมีค่าที่จะได้เรียนรู้ เติบโต พัฒนาตนเอง และเข้าใกล้เป้าหมายที่เราตั้งไว้มากขึ้นเรื่อยๆ ลองนึกภาพว่า มีนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังเตรียมตัวสอบ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวลและความกลัวว่าจะสอบตก ด้วยความกลัวนี้เอง เขาจึงเลือกที่จะไม่เริ่มต้นอ่านหนังสืออย่างจริงจัง เขาอาจจะหาข้ออ้างต่างๆ นานา เช่น รู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีสมาธิ หรือรอให้ใกล้สอบกว่านี้ก่อนค่อยเริ่มอ่าน ความกลัวนี้เองที่เป็นชนวนเหตุของการผัดวันประกันพรุ่ง เขาอาจจะหันไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์ เช่น จัดโต๊ะหนังสือ อ่านบทความที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอบ หรือแม้กระทั่งนอนหลับพักผ่อน เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกกดดันจากการต้องเผชิญหน้ากับการอ่านหนังสือที่เขาหวาดกลัว แต่สุดท้ายแล้วเมื่อวันสอบใกล้เข้ามา ความกลัวและความกังวลก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกหลายเท่าทวีคูณ สถานการณ์เดียวกันนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ การลงมือเขียนหนังสือสักเล่ม การตัดสินใจเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หรือแม้แต่การพยายามเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีของตัวเราเอง ความกลัวที่จะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ความกลัวที่จะถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ในผลงาน หรือความกลัวที่จะต้องก้าวออกจากจุดสบาย (Comfort Zone) ที่คุ้นเคย มักจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางไม่ให้เรากล้าที่จะเริ่มต้นลงมือทำ และในที่สุดเราก็เลือกที่จะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะมี "เวลาที่เหมาะสมกว่านี้" หรือ "วันที่ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์แบบกว่านี้" ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว วันนั้นอาจจะไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้ การผัดวันประกันพรุ่งที่หยั่งรากลึกมาจากความกลัวที่จะผิดพลาดนั้น จึงกลายเป็นวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด ตราบใดที่เรายังคงปล่อยให้ความกลัวเข้ามาควบคุมความคิดและการกระทำของเรา เราก็จะยังคงสรรหาเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเริ่มต้นลงมือทำในสิ่งที่เรารู้ดีว่าควรทำ และท้ายที่สุดเราก็จะพบว่าเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปโดยที่เราไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างที่ควรจะเป็น ความฝันและเป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ก็ยังคงเป็นเพียงภาพวาดในอากาศที่ไม่เคยถูกลงมือทำให้เป็นจริง และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำลายวงจรการผัดวันประกันพรุ่งนี้ คือ การตระหนักถึงรากเหง้าของปัญหา นั่นก็คือความกลัวที่จะผิดพลาด เมื่อเราสามารถระบุและยอมรับว่า การผัดวันประกันพรุ่งของเรานั้นมีสาเหตุมาจากความกลัว เราก็จะสามารถเริ่มต้นกระบวนการจัดการกับความกลัวนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเผชิญหน้ากับความกลัว การยอมรับว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของกระบวนการเรียนรู้และการเติบโต และการเริ่มต้นลงมือทำ แม้ว่าผลลัพธ์ในตอนแรกอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการทำลายวงจรการผัดวันประกันพรุ่งที่คอยฉุดรั้งเราไว้ การเริ่มต้นลงมือทำ แม้จะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง ย่อมดีกว่าการจมอยู่กับความกลัวและผัดวันประกันพรุ่งแบบที่ไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งการลงมือทำจะเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ได้ปรับปรุงแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด และได้พัฒนาตนเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ความผิดพลาดไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทางการเติบโตที่นำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด ดังนั้นอย่ากลัวที่จะลงมือทำ ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ชีวิตก้าวหน้า เพราะถ้าเรากลัว ก็เท่ากับเรากำลังผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันสิ้นสุด จงจดจำไว้เสมอว่า ทุกความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ล้วนเริ่มต้นจากการลงมือทำ แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ก็ตาม และทุกการเรียนรู้ที่มีคุณค่า ย่อมมาพร้อมกับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ จงมองความผิดพลาดเหล่านั้นเป็นบทเรียนอันล้ำค่าและเป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของตนเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่าปล่อยให้ความกลัวมาฉุดรั้งศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดของเรา จงกล้าที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone ที่คุ้นเคย และเริ่มต้นลงมือทำในสิ่งที่เราตั้งใจไว้ตั้งแต่วันนี้ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่เราปรารถนา จริงๆ พอพูดถึงเรื่องความกลัวว่าจะผิดพลาด แล้วไม่ยอมลงมือทำนั้น สามารถเกิดได้กับทุกเรื่อง ขนาดผู้เขียนจะปลูกมะเขือเปราะในกระถางหน้าบ้าน ยังมีกลัวนิดๆ ในตอนรกเลยค่ะ เพราะไม่เคยปลูกมาก่อน กลัวว่าจะเสียเวลาทิ้งไปเปล่าๆ กลัวว่าจะไม่ได้มะเขือเลยแม้แต่ลูกเดียว กลัวคนข้างบ้านจะหาว่าเราโง่ ง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ ฯลฯ แต่พอมานั่งตั้งสติและคิดดูดีๆ เลยจับได้ว่าถ้าเรากลัวต่อไป ชาติไหนจะได้รู้ว่าเราสามารถปลูกมะเขือเปราะได้ไหม ทั้งๆ ที่ต้นพันธุ์มะเขือก็ได้มาฟรี แสงแดดก็ฟรี ไม่รู้จะกลัวไปทำไม จากนั้นก็ลงมือปลูกเลยค่ะ โดยไม่ได้สนใจว่าจะได้มะเขือไหม แต่เอาใจไปอยู่ที่ว่า ฉันต้องทำอะไรบ้างในระหว่างเส้นทางจนกว่ามะเขือเปราะจะออกผลผลิต แทนที่จะเอาใจไปอยู่ที่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง พอใจเราโฟกัสถูกที่ ต่อให้มีปัญหาเกิดขึ้นเราก็สามารถแก้ไขได้หมดค่ะ และสุดท้ายเชื่อไหมคะว่า สิ่งที่ผู้เขียนกลัวตั้งแต่แรกก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะตอนนี้มีมะเขือเปราะเยอะมาก คนเดินผ่านไปผ่านขอก็มีเหลือเฟือให้เก็บแบบฟรี จนตอนนี้เบื่อแล้วที่มีมะเขือเปราะเยอะเกินค่ะ และนั่นคือตัวอย่างใกล้ตัวผู้เขียนเลย แต่ก็มีอีกหลายเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้ ที่กลัวไปเองในตอนแรก ที่คงจะพูดสามวันไม่จบแน่นอนค่ะ ซึ่งในเรื่องของการกลัวแล้วไม่อยากลงมือทำนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าคุณผู้อ่านเองก็น่าจะมีประสบการณ์มาบ้าง ยังไงลองมองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์นั้นดูก็ได้ และลองคิดดูว่า มันจริงไหม? ที่ผู้เขียนได้พูดเอาไว้ว่า “ความกลัวว่าจะผิดพลาด คือ การผัดวันประกันพรุ่ง ที่ไม่มีวันสิ้นสุด” และผู้เขียนหวังว่าเนื้อหาในบทความนี้จะสามารถเป็นแนวทางให้กับคุณผู้อ่านได้บ้าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากชอบบทความแบบนี้อีก อย่าลืมกดติดตามหรือกดบุ๊กมาร์กหน้าโปรไฟล์ไว้นะคะเพราะจะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆ ที่จะได้นำมาเผยแพร่ในเร็วๆนี้ค่ะ เครดิตภาพประกอบบทความ ภาพหน้าปก โดย Andrea Piacquadio จาก Pexels ภาพประกอบเนื้อหา: ภาพที่ 1 โดย Jaqueline Fritz จาก Unsplash, ภาพที่ 2 โดย Andrew Neel จาก Pexels และภาพที่ 3-4 โดยผู้เขียน ออกแบบภาพหน้าปกโดยผู้เขียนใน Canva เกี่ยวกับผู้เขียน ภัคฒ์ชาลิสา จำปามูล จบการศึกษา: พยาบาลศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม กระทรวงสาธารณสุข และสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต (อนามัยสิ่งแวดล้อม) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีความสนใจและประสบการณ์เกี่ยวกับ: สุขภาพ จิตวิทยาเชิงบวก การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูล บทความอื่นที่เกี่ยวข้องโดยผู้เขียน 7 วิธีฝึกการโฟกัส ฝึกตัวเองให้สนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานขึ้น 9 วิธีเลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ดินพอกหางหมู มาลงมือทำมากขึ้น 10 เทคนิคฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัย ทำอะไรเป็นแบบแผนมากขึ้น เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !