อลิอันซ์จัดโผความเสี่ยงธุรกิจ ไฟไหม้-ภัยธรรมชาติตัวปัญหา

#อลิอันซ์ #ทันหุ้น - อลิอันซ์ เปิด Allianz Risk Barometer 2025 เผยปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจ ไทย ชูอัคคีภัย และการระเบิดเสี่ยงสูงสุดในการทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก แนะผู้ประกอบการต้องมีการบริหารความเสี่ยง และมีความยืนหยุ่นในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น ขณะเดียวกันภัยธรรมชาติ ยังเป็นความเสี่ยงที่น่ากังวลหลังจากปีที่ผ่านมาสร้างผลกระทบหนักไปทั่วโลก
นางสาววาเนสสา แม็กเวล Allianz Commercial Chief Underwriting Officer กล่าวว่า ปี 2567รายงาน Allianz Risk Barometer ประจำปีสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนที่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ โดยความเสี่ยงอันดับสูงๆ สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีใหม่ กฎระเบียบ และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ มากยิ่งขึ้น ทำให้สาเหตุและผลที่ตามมาซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องริหารความเสี่ยงและพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวอย่างสม่ำเสมอ
นายคริสเตียน แซนดริก Regional Managing Director of Allianz Commercial Asia กล่าวว่า การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทในภูมิภาคนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจเอเชียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าโลกมากขึ้น นอกจากนี้การหยุดชะงักทางธุรกิจยังมักเกิดจากเหตุการณ์ทางไซเบอร์ ภัยธรรมชาติ ธุรกิจต้องบริหารความเสี่ยงและมีความยืดหยุ่นในห่วงโซ่อุปทาน เช่น การป้องกันความสูญเสีย การใช้ซัพพลายเออร์หลายราย การโอนความเสี่ยงทางเลือก และนโยบายประกันภัยระดับนานาชาติ
นายลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า อัคคีภัย และความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เป็นความกังวลหลักของบริษัทในไทย เพราะเป็นสาเหตุสำคัญของการหยุดชะงักทางธุรกิจ และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ธุรกิจต้องประเมินและปรับปรุงแนวทางการบรรเทาความเสี่ยงจากอัคคีภัยอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสีย
“เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น ภัยธรรมชาติและการหยุดชะงักทางธุรกิจจึงกลายเป็นความเสี่ยงอันดับต้นๆ ในไทย สิ่งนี้ตอกย้ำความสำคัญของห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น รวมถึงมาตรการโอนความเสี่ยงเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการหยุดชะงักทางธุรกิจที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
*เปิดความเสี่ยงอันดับ 1
อัคคีภัยและการระเบิดเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจอันดับ 1 ในไทย โดยขึ้นจากอันดับ 4 มาเป็นอันดับ 1ความรุนแรงของภัยนี้ทำให้เกิดการหยุดชะงัก และส่งผลให้การฟื้นตัวใช้เวลานานมากขึ้นเมื่อเทียบกับภัยด้านอื่นๆ โรงงานที่เสียหายอาจใช้เวลาหลายปีในการสร้างใหม่และกลับมาดำเนินการผลิตได้อย่างเต็มกำลัง
ในปี 2567 มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอัคคีภัยและการระเบิดหลายเหตุการณ์ในประเทศไทยที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย และธุรกิจหยุดชะงัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมีที่นิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกของไทย ระเบิดที่โรงงานเหล็กในจังหวัดระยอง เพลิงไหม้โรงงานสารตั้งต้นพลาสติกในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และระเบิดคลังดอกไม้ไฟในภาคกลาง
อลิอันซ์ คอมเมอร์เชียล วิเคราะห์การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนประกันภัยการหยุดชะงักทางธุรกิจมากกว่า 1,000 รายในช่วง 5 ปี ซึ่งสิ้นสุดลงในปี 2566 (มูลค่าเกิน 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และพบว่าอัคคีภัยเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการเรียกร้องค่าสินไหมเหล่านี้ และคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าการเรียกร้องค่าสินไหมทั้งหมด
*ภัยธรรมชาติความกังวลหลัก
ภัยธรรมชาติจัดอยู่ในอันดับความเสี่ยงที่สำคัญเป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ประเทศที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูงที่สุดในโลก เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-กันยายน 2567ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนมากกว่า 180,000ครัวเรือน และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคเกษตรกรรม โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 4.34หมื่นล้านบาท (1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ในเอเชีย ภัยธรรมชาติยังคงเป็นความเสี่ยงในอันดับ 3อุณหภูมิของภูมิภาคเอเชียสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยมีผู้เสียชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากขึ้นจากน้ำท่วม พายุ และคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้น ความสูญเสียที่มีประกันภัยมีมูลค่าสูงเกิน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปี 2567ซึ่งคาดว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ เป็นปีแห่งภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรง มีพายุเฮอร์ริเคนและพายุรุนแรงในอเมริกาเหนือ น้ำท่วมรุนแรงในยุโรป และภัยแล้งในแอฟริกาและอเมริกาใต้
*ภัยพิบัติทำธุรกิจหยุดชะงัก
การหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นความเสี่ยงอันดับ 3 ในไทย การหยุดชะงักทางธุรกิจสัมพันธ์อย่างมากกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำท่วมในเดือนสิงหาคมและกันยายนปี 2567ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่าประมาณ 491ล้านบาท (14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และส่งผลให้ไทยซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ที่สุดของโลกมีปริมาณการผลิตยางพาราลดลง 30% ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน
หลายเหตุการณ์ในปี 2567 ชี้ให้เห็นว่าทำไมบริษัทต่างๆ ยังคงมองว่าการหยุดชะงักทางธุรกิจเป็นภัยคุกคามหลักต่อโมเดลธุรกิจของพวกเขา การโจมตีของกลุ่มฮูตีในทะเลแดงทำให้ห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักจากการเปลี่ยนเส้นทางของเรือขนส่งสินค้า และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลกระทบในระดับโลกก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ตั้งแต่ 5% ถึง 10% ของต้นทุนผลิตภัณฑ์ และทำให้เกิดการหยุดทำงานในด้านต่างๆ เพิ่มเติม